โรคไตเรื้อรังระยะที่ 5 (CKD)โรคไตเรื้อรังระยะที่ 5 เป็นระยะสุดท้ายของโรคไตเรื้อรัง หรือที่เรียกว่า "ภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย" (End-Stage Renal Disease - ESRD) ในระยะนี้ การทำงานของไตลดลงอย่างมากจนไม่สามารถกรองของเสียและรักษาสมดุลของเหลวในร่างกายได้เองอีกต่อไป ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการบำบัดทดแทนไตเพื่อประคองชีวิต
อาการของโรคไตเรื้อรังระยะที่ 5
ในระยะนี้อาการจะปรากฏอย่างชัดเจนและรุนแรงขึ้น เนื่องจากมีของเสียสะสมในเลือดเป็นจำนวนมาก
อ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย: ร่างกายไม่สามารถกำจัดของเสียได้ ทำให้รู้สึกไม่มีแรง
อาการบวม: มีการสะสมของเหลว ทำให้เกิดอาการบวมตามใบหน้า รอบดวงตา มือ และเท้า
ปัสสาวะผิดปกติ: ปริมาณปัสสาวะลดลงอย่างมาก หรือปัสสาวะน้อยจนเกือบไม่มีเลย
คลื่นไส้ อาเจียน และเบื่ออาหาร: ของเสียในร่างกายส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร
หายใจลำบาก หอบเหนื่อย: ของเหลวส่วนเกินสะสมในปอด
คันตามผิวหนัง: ของเสียที่คั่งค้างทำให้เกิดอาการคันทั่วร่างกาย
มีกลิ่นปากคล้ายแอมโมเนีย: เนื่องจากมีสารยูเรียสะสมในเลือด
แนวทางการรักษา
การรักษาโรคไตเรื้อรังระยะที่ 5 ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่เป็นการรักษาเพื่อทดแทนการทำงานของไตและช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยมี 3 วิธีหลักๆ ได้แก่
การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis): เป็นการนำเลือดของผู้ป่วยมาผ่านเครื่องฟอกไตเพื่อกรองของเสียและน้ำส่วนเกินออก
การล้างไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis): เป็นการใส่น้ำยาเข้าไปในช่องท้องเพื่อใช้เยื่อบุช่องท้องเป็นตัวกรองของเสีย
การปลูกถ่ายไต (Kidney Transplant): เป็นการผ่าตัดนำไตที่ทำงานได้ดีจากผู้บริจาคมาใส่ในร่างกายผู้ป่วย ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยกลับมามีชีวิตที่เกือบปกติได้ แต่ต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต
การดูแลตนเอง
แม้จะอยู่ในการรักษาด้วยการบำบัดทดแทนไตแล้ว การดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดก็ยังมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ควบคุมอาหาร: จำกัดปริมาณโปรตีน, โซเดียม, โพแทสเซียม, และฟอสฟอรัส
ควบคุมปริมาณน้ำ: จำกัดปริมาณการดื่มน้ำให้พอเหมาะกับปริมาณปัสสาวะที่ออกมา
ทานยาตามแพทย์สั่ง: ทานยาอย่างเคร่งครัดเพื่อควบคุมภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
หากคุณหรือคนใกล้ตัวได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไตเรื้อรังระยะที่ 5 ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดเพื่อเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณเอง