ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ไขสันหลังอักเสบเฉียบพลัน (Acute Transverse Myelitis) ไขสันหลังอักเสบเฉียบพลัน (Acute Transverse Myelitis) เป็นภาวะทางระบบประสาทที่เกิดขึ้นไม่บ่อย แต่มีความรุนแรง โดยเป็นการอักเสบที่เกิดกับไขสันหลัง ทำให้เส้นประสาทที่อยู่ภายในไขสันหลังถูกทำลาย ส่งผลให้การสื่อสารระหว่างสมองและส่วนต่างๆ ของร่างกายหยุดชะงัก อาการมักจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือหลายวัน
สาเหตุ
สาเหตุที่แน่ชัดของภาวะไขสันหลังอักเสบเฉียบพลันมักไม่สามารถระบุได้ แต่เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับปัจจัยต่างๆ ดังนี้:
โรคภูมิต้านทานผิดปกติ: ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเข้าใจผิดและหันมาโจมตีไขสันหลังของตนเอง ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis) หรือโรคนิวโรมัยอไลติส ออพติกา (NMOSD)
การติดเชื้อ: การติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัดใหญ่ เริม หรือการติดเชื้อแบคทีเรีย
การบาดเจ็บ: การได้รับบาดเจ็บที่ไขสันหลัง
โรคหลอดเลือด: ภาวะที่ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดไปยังไขสันหลัง
อาการ
อาการของภาวะนี้จะเริ่มอย่างฉับพลันและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่ต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วน:
อาการทางด้านการเคลื่อนไหว: มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือเป็นอัมพาตที่ขาทั้งสองข้าง และในบางรายอาจเกิดขึ้นกับแขนด้วย
อาการทางด้านความรู้สึก: มีอาการชา รู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่ม ปวดร้าว หรือไวต่อการสัมผัสผิดปกติ โดยอาการปวดมักจะเริ่มที่หลังและลามลงไปที่ขา
อาการเกี่ยวกับการขับถ่าย: ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระได้ หรือมีปัญหาในการปัสสาวะ
การรักษา
การรักษาไขสันหลังอักเสบเฉียบพลันถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ โดยมีเป้าหมายหลักคือการลดการอักเสบและควบคุมอาการ:
สเตียรอยด์ (Corticosteroids): เป็นยาหลักที่ใช้ในการรักษา โดยจะให้ทางหลอดเลือดดำในปริมาณสูงเพื่อลดการอักเสบอย่างรวดเร็ว
พลาสมาเฟอรีซิส (Plasma Exchange): เป็นการกรองเอาสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบในเลือดออกไป ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยสเตียรอยด์
การบำบัดฟื้นฟู: หลังจากอาการเฉียบพลันดีขึ้น ผู้ป่วยจำเป็นต้องเข้ารับการทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูความสามารถในการเคลื่อนไหว
พยากรณ์โรคและการฟื้นตัว
การพยากรณ์โรคขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการอักเสบและการตอบสนองต่อการรักษา ผู้ป่วยบางรายอาจฟื้นตัวได้เต็มที่หรือเกือบเต็มที่ แต่บางรายอาจมีอาการอ่อนแรงหรือปวดเรื้อรังหลงเหลืออยู่ถาวร การฟื้นตัวอาจใช้เวลาตั้งแต่หลายเดือนไปจนถึงหลายปี การได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัวได้ดีขึ้น