แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 75
1
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: มะเร็งกระดูก (Bone cancer)

มะเร็งกระดูก ในที่นี้หมายถึงมะเร็งที่เกิดขึ้นจากเนื้อเยื่อของกระดูกเอง (ไม่หมายรวมถึงมะเร็งที่แพร่มาจากอวัยวะอื่น) เป็นมะเร็งที่พบได้น้อย (พบได้น้อยกว่าร้อยละ 1 ของมะเร็งทั้งหมด และมะเร็งกระดูกในเด็กพบได้ร้อยละ 3-5 ของมะเร็งที่พบในเด็กทั้งหมด) พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเล็กน้อย

มะเร็งกระดูกมีอยู่หลายชนิด ส่วนใหญ่เป็นมะเร็งเซลล์กระดูก (osteosarcoma) ซึ่งพบมากในเด็กและวัยหนุ่มสาว โดยเฉพาะช่วงอายุ 10-20 ปี ส่วนน้อยเป็นมะเร็งเซลล์กระดูกอ่อน (chrondosarcoma) ซึ่งพบในคนอายุมากกว่า 50 ปี นอกนั้นอาจพบมะเร็งของเซลล์ชนิดอื่น ๆ

สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งชนิดนี้ ได้แก่

    ความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ พบว่าผู้ที่เป็นโรคกรรมพันธุ์บางชนิด เช่น Li-Fraumeni syndrome, มะเร็งลูกตาในเด็ก (retinoblastoma) เป็นต้น มีโอกาสเป็นมะเร็งกระดูกมากขึ้น
    โรคกระดูกบางชนิด เช่น โรคพาเจตของกระดูก (Paget's disease of bone เป็นภาวะผิดปกติของเนื้อเยื่อกระดูก ทำให้กระดูกหนา และเปราะแตกหักง่าย) ซึ่งพบในคนอายุมากกว่า 50 ปี พบว่าผู้ที่เป็นโรคนี้มีโอกาสเป็นมะเร็งเซลล์กระดูก (osteosarcoma) ประมาณร้อยละ 1
    การมีประวัติเคยได้รับการฉายรังสีรักษามะเร็งชนิดอื่นมาก่อน

อาการ

อาการแรกเริ่ม คืออาการปวดกระดูกตอนกลางคืน หรือตอนมีการใช้งานของแขนขา ซึ่งมักจะเป็นอย่างต่อเนื่อง ต่อมาจะพบว่ามีก้อนแข็งหรือปุ่มยื่นออกมาจากกระดูก ส่วนใหญ่พบที่กระดูกขา (บริเวณรอบ ๆ เข่า) และกระดูกแขน ส่วนน้อยพบที่บริเวณอื่น

บางรายอาจมาพบแพทย์ด้วยอาการกระดูกแตกหรือหักจากการกระทบกระแทกเล็กน้อย จนเข้าใจผิดว่าเป็นกระดูกแตกหักจากอุบัติเหตุทั่วไป หากไม่ได้รับการรักษา มะเร็งเซลล์กระดูกอาจแพร่กระจายไปที่ปอด ทำให้มีอาการหอบเหนื่อย

ภาวะแทรกซ้อน

ทำให้มีอาการเจ็บปวด กระดูกหัก ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง

มะเร็งแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปที่อวัยวะอื่น ที่พบบ่อยคือไปที่ปอด ทำให้มีอาการเจ็บหน้าอก ไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด ภาวะมีน้ำหรือเลือดในช่องเยื่อหุ้มปอด หายใจลำบาก

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยโดยการเอกซเรย์ สแกนกระดูก และตัดชิ้นเนื้อนำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ

หากพบว่าเป็นมะเร็งก็จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ (เช่น เอกซเรย์, อัลตราซาวนด์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า-MRI, การตรวจเพทสแกน- PET scan เป็นต้น) เพื่อประเมินว่าเป็นมะเร็งระยะใด

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัดเป็นหลัก ถ้ามะเร็งมีขนาดเล็กจะทำการผ่าตัดกระดูกเฉพาะส่วนที่เป็นมะเร็งออกไป แล้วนำเนื้อเยื่อกระดูกปกติหรือกระดูกเทียมมาใส่แทน แต่ถ้ามะเร็งมีขนาดใหญ่ก็จำเป็นต้องตัดแขนหรือขาที่เป็นมะเร็งออกไป แล้วใส่แขนหรือขาเทียม

แพทย์อาจทำการผ่าตัดเพียงอย่างเดียว หรือทำการผ่าตัดร่วมกับเคมีบำบัด และ/หรือรังสีบำบัด ตามชนิดและระยะของโรค

สำหรับมะเร็งเซลล์กระดูก (osteosarcoma) แพทย์จะทำการรักษาด้วยการผ่าตัด และให้เคมีบำบัดก่อนและหลังการผ่าตัด ช่วยให้การผ่าตัดมีประสิทธิภาพ และป้องกันไม่ให้มะเร็งกลับมากำเริบใหม่ ส่วนรังสีบำบัดแพทย์จะเลือกใช้ในบางกรณี

สำหรับมะเร็งเซลล์กระดูกอ่อน (chrondosarcoma) แพทย์จะรักษาด้วยการผ่าตัด อาจใช้รังสีบำบัดก่อนและหลังผ่าตัด มักจะไม่ใช้เคมีบำบัด เนื่องเพราะใช้ไม่ได้ผลในการรักษามะเร็งชนิดนี้เป็นส่วนใหญ่ ในรายที่ผ่าตัดไม่ได้แพทย์จะรักษาด้วยใช้รังสีบำบัดเป็นหลัก

ผลการรักษาขึ้นกับชนิดและระยะของโรค

ในรายที่เป็นมะเร็งเซลล์กระดูก (ซึ่งพบในเด็กและวัยหนุ่มสาว) ระยะที่ยังไม่ลุกลาม มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีประมาณร้อยละ 60-80 แต่ถ้ากระจายผ่านกระแสเลือดไปที่อวัยวะอื่น (พบบ่อยที่ปอด) มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีประมาณร้อยละ 15-30

ส่วนรายที่เป็นมะเร็งเซลล์กระดูกอ่อน (ซึ่งพบในคนอายุมากกว่า 50 ปี) ส่วนใหญ่มักจะลุกลามช้าและไม่แพร่กระจายไปที่อื่น ซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดด้วยการผ่าตัดได้ มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีประมาณร้อยละ 80

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดกระดูกนานเป็นสัปดาห์โดยไม่ทราบสาเหตุ, มีก้อนแข็งหรือปุ่มยื่นออกมาจากกระดูก ที่กระดูกแขนขาหรือที่อื่น เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งกระดูก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด จึงยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล

ข้อแนะนำ

1. ผู้ที่มีอาการปวดกระดูกเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด

2. ผู้ป่วยมะเร็งกระดูกบางรายอาจมาพบแพทย์ด้วยอาการกระดูกแตกหรือหักจากการกระทบกระแทกเล็กน้อย จนเข้าใจผิดว่าเป็นกระดูกแตกหักจากอุบัติเหตุทั่วไป หากสงสัยควรทำการตรวจเพิ่มเติมให้แน่ชัด

3. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

2
ซ่อมบำรุงอาคาร: กระเบื้องแตก แก้ไขอย่างไร ?

หลายคนที่เพิ่งจะซื้อบ้าน อาจจะต้องเจอปัญหาจุกจิกภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการรั่วซึม ปัญหาผนังร้าว หรือปัญหากระเบื้องแตก ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัญหาที่มักจะพบได้บ่อย
ซึ่งอาจจะสร้างความรำคาญใจให้กับเจ้าของบ้านเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าจะไม่ได้ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากเท่าไหร่ แต่บ้านของใครใครก็รัก คงไม่อยากให้เกิดปัญหา หรือทำให้เสียบรรยากาศในการพักผ่อนหย่อนใจหลังจากกลับจากที่ทำงาน นอกจากนี้ ยังทำให้บ้านดูเก่า ดูโทรมอีกด้วย ซึ่งปัญหาที่กล่าวมานั้น แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ถือเป็นปัญหาใหญ่และควรซ่อมซ่อมเป็นการด่วน เพราะหากปล่อยไว้นานเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาที่บานปลาย รวมถึงเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมที่แพงเกินความจำเป็นอีกด้วย

ซึ่งวันนี้ทางเราจะมาพูดถึงเรื่องของปัญหากระเบื้องแตก ที่หลายคนอาจจะไม่ทราบว่าจะต้องแก้ไขปัญหาอย่างไร ซึ่งปัญหากระเบื้องแตก ส่วนใหญ่เกิดจากอุณหภูมิเปลี่ยนแปลง อุณหภูมิต่ำ และอุณหภูมิสูง ซึ่งจะมีผลต่อการเกิดการยืดและหดของวัสดุปูพื้นโดยตรง ความเย็นทำให้เกิดการหดตัว และความร้อนทำให้เกิดการขยายตัว โดยกาวซีเมนต์กับพื้นคอนกรีตมีความหนาแน่นใกล้เคียงกัน

แต่กระเบื้องมีความหนาแน่นสูงกว่าวัสดุทั้งสอง ทำให้พื้นคอนกรีต กาวซีเมนต์ และกระเบื้องเกิดการยึดหรือหดตัวในอัตราที่ไม่เท่ากัน จนเกิดปัญหากระเบื้องแตกร้าว ระเบิดหรือโก่งตัวได้

ก่อนที่เราจะมาพูดถึงเรื่องของการแก้ไขกระเบื้องแตก เราจะต้องรู้ก่อนว่า สาเหตุที่แท้จริงของปัญหาดังกล่าวนั้นเกิดจากอะไร ส่วนใหญ่ปัญหานี้มักจะเกิดจากพื้นที่ไม่แข็งแรง โดยเกิดจากพื้นผิวที่ปูกระเบื้องเป็นพื้นผิวเก่า และไม่ทำความสะอาดพื้นผิวให้แห้ง พื้นผิวปูนเกิดการแอ่นตัว

และมีการทรุดตัว รวมถึงเคลื่อนตัวออกจากโครงสร้าง หรือแม้กระทั่งการปูพื้นกระเบื้องในขณะที่ปูนไม่เซ็ตตัว และยังไม่แห้งดี ใช้กระเบื้องที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยอาจเป็นกระเบื้องชนิดหดตัว และมีการขยายตัวสูง ใช้ปูนในการปูกระเบื้องที่ผิดประเภท อาทิ การใช้ปูนทราย อีกทั้งถ้าหากปูบริเวณภายนอกที่เจอกับแสงแดด ก็ยิ่งทำให้ปูนแห้งเร็ว มีส่วนทำให้การยึดเกาะไม่มีประสิทธิภาพ

และสุดท้ายคือ การปูกระเบื้องแบบไม่เว้นร่องยาแนว ถือเป็นการปูกระเบื้องที่ผิดวิธี รววถึงการปูกระเบื้องที่ชิดมากเกินไปเช่นกัน เพราะหากอาศร้อน หรือมีอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงโดยฉับพลัน ก็มีส่วนทำให้กระเบื้องขยายตัวตัวและดีดตัวโก่งขึ้น

จึงเป็นสาเหตุทำให้กระเบื้องหลุดล่อน และเกิดการระเบิดได้ ส่วนวิธีแก้ไขปัญหาคือเราจะต้องเริ่มที่วิธีปูกระเบื้อง ไม่ควรปูพื้นแบบซาลาเปาเด็ดขาด ควรใช้ปูนรองกระเบื้องให้เต็มแผ่น แล้วทาปูนกาวประสานอีกที ซึ่งเป็นปูนซีเมนต์ผสมสารช่วยเพิ่มการยึดเกาะ คุณสมบัติดีกว่าปูนซีเมนต์ธรรมดา หรือใช้การปูกระเบื้องแบบเปียก ทาปูนให้เต็มแผ่น ลดช่องว่างและเพิ่มการยึดเกาะ ที่สำคัญ ถ้าต้องปูพื้นใหม่ อย่าลืมสกัดเศษปูนเก่าออกจากพื้น

เพื่อปรับระดับพื้นให้เหมาะสม และเพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะของกระเบื้องชุดใหม่ หากเราไม่อยากให้เกิดปัญหาซ้ำ เพื่อความมั่นใจว่าปัญหาเหล่านี้จะไม่กลับมาเกิดขึ้นอีก แนะนำให้ปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญเพื่อมาประเมินความเสียหาย และแก้ไขได้อย่างถูกวิธี

รวมถึงเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับการใช้งาน ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหากระเบื้องแตกร้าวอีก อย่างไรก็ตาม เราควรตรวจสอบและหมั่นเช็คจุดบกพร่องที่เกิดภายในบ้านของเรา เพื่อที่จะได้แก้ไขได้อย่างทันเวลา เพราะหากปล่อยไว้อาจจะทำให้เกิดปัญหาลุกลามได้ ซึ่งอาจจะต้องมานั่งเสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายโดยเปล่าประโยชน์ได้

อย่างไรก็ตาม ทางเรามีบริการรักษาสิ่งแวดล้อมในสถานที่ทำงาน หรือบริการทางด้านการซ่อมบำรุงรักษาอาคาร เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้มีความปลอดภัย และสร้างสิ่งแวดล้อมให้มีความสะอาด สะดวก และถูกสุขลักษณะ พร้อมกับให้คำปรึกษาเกี่ยวกับระบบดูแลอาคาร ระบบทำความเย็นภายในอาคาร สำนักงาน เพื่อให้บริการของเราได้ตอบโจทย์ให้เข้าของอาคารสถานที่ และตรงต่อความต้องการมากที่สุด

เพราะเราให้ความสำคัญความสะดวกสบายของลูกค้า เราจึงมีการฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้ ความสามารถ และมีทัศนคติที่ดีในการทำงานเพื่อที่จะส่งมอบบริการต่าง ๆให้กับ ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

3
การเลือกซื้อน้ำหอมให้เป็นของขวัญวันเกิด

การเลือก น้ำหอม ให้เป็นของขวัญวันเกิดเป็นการแสดงออกถึงความใส่ใจและรสนิยมที่ดีค่ะ เพราะน้ำหอมเป็นมากกว่าแค่กลิ่นหอม แต่มันคือการสร้างความทรงจำและสะท้อนบุคลิกภาพของผู้ใช้ได้เป็นอย่างดี เพื่อให้ของขวัญชิ้นนี้ถูกใจที่สุด ลองพิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้ดูนะคะ


1. รู้จักสไตล์และบุคลิกของผู้รับ

นี่คือหัวใจสำคัญของการเลือกน้ำหอมเลยค่ะ ลองสังเกตจาก:

สไตล์การแต่งตัว:

เรียบง่าย มินิมอล: อาจชอบกลิ่นหอมสะอาด สดชื่น อ่อนโยน

หรูหรา สง่างาม: อาจชอบกลิ่นดอกไม้คลาสสิก กลิ่นแนว Powdery หรือกลิ่นที่ซับซ้อนและมีระดับ

เปรี้ยว เท่ ทันสมัย: อาจชอบกลิ่นสดชื่น ซิตรัส กลิ่น Woody หรือกลิ่น Unisex

น่ารัก สดใส ร่าเริง: อาจชอบกลิ่นผลไม้ ดอกไม้หวานๆ หรือกลิ่นแนว Gourmand (ขนมหวาน)

ไลฟ์สไตล์และกิจกรรมที่ทำบ่อย:

ทำงานในออฟฟิศ/พบปะผู้คน: กลิ่นที่ไม่ฉุนจนเกินไป สุภาพ แต่ยังคงมีเอกลักษณ์

ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง/กีฬา: กลิ่นสดชื่น สะอาด แนว Aquatic หรือ Citrus

ชอบเที่ยวกลางคืน/งานสังสรรค์: กลิ่นที่ชัดเจน ติดทน สร้างความน่าจดจำ เช่น กลิ่นแนว Oriental หรือ Woody

น้ำหอมที่เคยใช้: ถ้าทราบว่าผู้รับเคยใช้น้ำหอมกลิ่นไหนหรือแนวไหน ก็จะช่วยให้เลือกได้ง่ายขึ้น หรืออาจจะลองเลือกน้ำหอมกลิ่นใกล้เคียง หรือรุ่นใหม่ๆ ของแบรนด์ที่เขาชื่นชอบ


2. ทำความเข้าใจประเภทของกลิ่น (Fragrance Families)

การรู้ประเภทกลิ่นจะช่วยให้คุณจำกัดตัวเลือกได้ดีขึ้น:

ซิตรัส (Citrus): สดชื่น สดใส กระปรี้กระเปร่า เหมาะกับอากาศร้อน เช่น มะนาว ส้ม มะกรูด

ฟลอรัล (Floral): หอมหวาน โรแมนติก เป็นที่นิยมมาก มีทั้งกลิ่นดอกไม้เดี่ยวๆ หรือช่อดอกไม้ เช่น กุหลาบ มะลิ ฟรีเซีย ลิลลี่

วู้ดดี้ (Woody): อบอุ่น ลึกซึ้ง ให้ความรู้สึกหรูหรา มีเสน่ห์ เช่น ไม้จันทน์หอม ซีดาร์ แพทชูลี

โอเรียนทัล (Oriental): เย้ายวน ลึกลับ อบอุ่น มีส่วนผสมของเครื่องเทศ วานิลลา อำพัน มัสก์

ฟูแชร์ (Fougère): สดชื่น สะอาด คล้ายกลิ่นป่าหลังฝนตก มีกลิ่นลาเวนเดอร์ โอ๊กมอส และคูมาริน มักใช้ในน้ำหอมผู้ชาย แต่ก็มีน้ำหอม Unisex

อะควาติก (Aquatic): กลิ่นสะอาด สดชื่น เหมือนลมทะเล หรือน้ำค้าง

กูร์มองด์ (Gourmand): กลิ่นหอมหวานน่ากิน คล้ายขนม เช่น วานิลลา คาราเมล ช็อกโกแลต กาแฟ


3. ความเข้มข้นของน้ำหอม (Concentration)

ความเข้มข้นมีผลต่อความติดทนและราคา:

Parfum (Perfume): เข้มข้นที่สุด (20-40% หัวน้ำหอม) ติดทนนาน 6-8 ชั่วโมง หรือมากกว่า

Eau de Parfum (EDP): เข้มข้นรองลงมา (15-20% หัวน้ำหอม) ติดทนนาน 4-5 ชั่วโมง เป็นที่นิยมที่สุด

Eau de Toilette (EDT): เข้มข้นน้อยลง (5-15% หัวน้ำหอม) ติดทนนาน 2-4 ชั่วโมง เหมาะกับการใช้ในชีวิตประจำวัน

Eau de Cologne (EDC): เบาที่สุด (2-4% หัวน้ำหอม) ติดทนนาน 1-2 ชั่วโมง เหมาะสำหรับความสดชื่นชั่วคราว

Eau Fraîche: เบาและสดชื่นมาก (1-3% หัวน้ำหอม)


4. แบรนด์และแพ็คเกจจิ้ง

แบรนด์: น้ำหอมจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงมักจะมาพร้อมคุณภาพและความน่าเชื่อถือ

แพ็คเกจจิ้ง: ขวดน้ำหอมที่สวยงาม ดีไซน์ดีๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ของขวัญน่าประทับใจยิ่งขึ้น


5. การนำเสนอ

ห่อของขวัญ: การห่ออย่างประณีตพร้อมริบบิ้นสวยๆ จะเพิ่มความพิเศษ

เขียนการ์ด: เขียนข้อความอวยพรที่สื่อถึงความรู้สึกดีๆ และความใส่ใจของคุณ

ไอเดียเพิ่มเติม (หากไม่แน่ใจจริงๆ):

บัตรกำนัล (Gift Card): ถ้าไม่แน่ใจเรื่องกลิ่นจริงๆ การให้บัตรกำนัลร้านน้ำหอม ให้ผู้รับไปเลือกเองก็เป็นทางเลือกที่ดีค่ะ

น้ำหอมขนาดเดินทาง (Travel Size) หรือชุดเซ็ตเล็กๆ (Discovery Set): ให้ผู้รับได้ลองหลายๆ กลิ่นก่อนตัดสินใจซื้อขนาดใหญ่

ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีกลิ่นเดียวกับน้ำหอม (Layering Products): เช่น โลชั่น ครีมอาบน้ำ ที่มีกลิ่นหอมเดียวกัน จะช่วยให้กลิ่นติดทนนานขึ้น

การเลือกน้ำหอมเป็นของขวัญวันเกิดเป็นการส่งมอบความสุขและเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร ขอให้คุณเลือกกลิ่นที่ใช่และถูกใจผู้รับนะคะ!

4
หมอออนไลน์: ตับแข็ง (Cirrhosis)

ตับแข็ง เป็นโรคตับเรื้อรังที่เซลล์ตับจำนวนมากถูกทำลายอย่างถาวร จนกลายเป็นเยื่อพังผืด (fibrotic tissue) ที่มีลักษณะแข็งกว่าปกติ ตับไม่อาจทำหน้าที่ได้เป็นปกติ ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของระดับฮอร์โมนเอสโทรเจนที่ร่างกายสร้างตามธรรมชาติ (เป็นเหตุทำให้มีอาการฝ่ามือแดง จุดแดงรูปแมงมุม นมโตและอัณฑะฝ่อในผู้ชาย) การคั่งของสารบิลิรูบิน (ทำให้ดีซ่าน) การสังเคราะห์สารที่ช่วยห้ามเลือดได้น้อยลง (มีภาวะเลือดออกง่าย) มีภาวะความดันในหลอดเลือดดำของตับสูง (ทำให้ท้องมาน หรือมีน้ำคั่งในช่องท้อง หลอดเลือดขอดที่หลอดอาหาร ริดสีดวงทวาร) ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของระบบต่าง ๆ (เช่น ระบบการย่อยและการเผาผลาญอาหาร การแข็งตัวของเลือด การกำจัดยา สารพิษและสารต่างๆ ระบบภูมิคุ้มกันโรค เป็นต้น) 

อาการแรกเริ่มมักเกิดในช่วงอายุระหว่าง 40-60 ปี แต่ถ้าพบในคนอายุน้อยอาจเกิดจากโรคตับอักเสบจากไวรัสชนิดรุนแรง จากการใช้ยาผิด หรือสารเคมีบางชนิด

สาเหตุ

เซลล์ตับถูกทำลาย ซึ่งมีสาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ 

    การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี จนกลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง
    การดื่มแอลกอฮอล์จัดติดต่อกันเป็นเวลานาน (เป็นแรมปี) ยิ่งดื่มมากยิ่งเสี่ยงมาก และผู้หญิงที่ดื่มสุรามีความเสี่ยงที่จะเป็นตับแข็งมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากร่างกายมีการเผาผลาญแอลกอฮอล์แตกต่างกันระหว่างชายกับหญิง ทำให้ผู้หญิงรับพิษจากแอลกอฮอล์มากกว่าผู้ชาย

นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากภาวะไขมันสะสมในตับ (fatty liver)* การใช้ยาเกินขนาด (เช่น พาราเซตามอล เตตราไซคลีน ไอเอ็นเอช ไรแฟมพิซิน เมโทเทรกเซต AZT) ภาวะขาดอาหาร หรือเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคต่าง ๆ (เช่น ทาลัสซีเมีย ภาวะหัวใจวายเรื้อรัง ภาวะทางเดินน้ำดีอุดกั้น หรือท่อน้ำดีตีบตัน ตับอักเสบเรื้อรังจากปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง) หรือจากพิษของสารเคมีบางชนิด (เช่น คลอโรฟอร์ม คาร์บอนเตตราคลอไรด์ สารโลหะหนัก)

*พบในผู้ป่วยเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูง กลุ่มอาการเมตาบอลิก** คนอ้วน ผู้ที่ขาดอาหาร ดื่มแอลกอฮอล์จัด หรือใช้ยาสเตียรอยด์นาน ๆ

**กลุ่มอาการเมตาบอลิก (metabolic syndrome หรือเดิมเรียกว่า syndrome X) ประกอบด้วย ภาวะเสี่ยงอย่างน้อย 3 ข้อ จาก 5 ข้อต่อไปนี้

1. ความดันโลหิตช่วงบน ≥ 130 มม.ปรอท และ/หรือความดันโลหิตช่วงล่าง ≥ 85 มม.ปรอท หรือกินยารักษาความดันโลหิตสูงอยู่

2. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง (FPG) ≥ 100 มก./ดล.

3. เส้นรอบเอว ≥ 90 ซม. ในผู้ชาย หรือ ≥ 80 ซม. ในผู้หญิง

4. ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ≥ 150 มก./ดล.

5. ระดับเอชดีแอลคอเลสเตอรอลในเลือด < 40 มก./ดล. ในผู้ชาย หรือ < 50 มก./ดล. ในผู้หญิง

กลุ่มอาการเมตาบอลิก พบได้มากขึ้นตามอายุ (อายุมากกว่า 60 ปี อาจพบมากถึงร้อยละ 40) และพบในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก (ดัชนีมวลกาย ≥ 25 กก./ตร.ม. พบได้ประมาณร้อยละ 20 ≥ 30 กก./ตร.ม. พบได้มากกว่าร้อยละ 50)

ผู้ที่มีกลุ่มอาการเมตาบอลิกมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด และภาวะไขมันสะสมในตับ (fatty liver) ซึ่งอาจกลายเป็นตับอักเสบที่เรียกว่า “Non-aloholic steatohepatitis/NASH” ซึ่งในที่สุดอาจกลายเป็นตับแข็งและมะเร็งตับได้

การรักษา ปรับพฤติกรรมแบบเดียวกับโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดผิดปกติ ความดันโลหิตสูง ถ้าจำเป็นอาจต้องให้ยาควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่พบ

อาการ

ระยะแรกเริ่ม อาจไม่มีอาการผิดปกติชัดเจน หรือมีเพียงอาการท้องอืด ท้องเฟ้อคล้ายอาหารไม่ย่อย ต่อมาเป็นแรมปีอาจเริ่มรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียนเป็นบางครั้ง น้ำหนักลด เท้าบวม

อาจรู้สึกเจ็บบริเวณชายโครงขวาเล็กน้อย ตาเหลือง คันตามผิวหนัง ความรู้สึกทางเพศลดลง

บางรายอาจสังเกตเห็นฝ่ามือแดงผิดปกติ หรือมีจุดแดงที่หน้าอก หน้าท้อง

ในผู้หญิงอาจมีอาการประจำเดือนขาดหรือมาไม่สม่ำเสมอ มีหนวดขึ้น หรือมีเสียงแหบห้าวคล้ายผู้ชาย

ในผู้ชายอาจรู้สึกนมโตและเจ็บ (gynecomastia) อัณฑะฝ่อตัว หรือมีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หรือองคชาตไม่แข็งตัว (erectile dysfunction/ED)

ในระยะท้ายของโรค (หลังเป็นอยู่หลายปี หรือยังดื่มแอลกอฮอล์จัด) จะมีอาการท้องมาน เท้าบวมหลอดเลือดขอดที่ขา หลอดเลือดพองที่หน้าท้อง อาจอาเจียนเป็นเลือดสด ๆ เนื่องจากหลอดเลือดขอดที่หลอดอาหาร (esophageal varices) แล้วแตก ซึ่งอาจถึงช็อกและตายได้

ผู้ป่วยมักจะลงเอยด้วยอาการซึม เพ้อ มือสั่น และค่อย ๆ ไม่รู้สึกตัว จนกระทั่งหมดสติ


ภาวะแทรกซ้อน

เกิดภาวะขาดอาหาร น้ำหนักลด ผอมแห้ง เป็นตะคริวง่าย กระดูกพรุนและหักง่าย ภูมิคุ้มกันโรคลดลงทำให้เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย (เช่น ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม วัณโรค เยื่อบุช่องท้องอักเสบ)

ถ้าเป็นเรื้อรัง จะมีภาวะเลือดออกง่ายและหยุดยาก เนื่องเพราะตับไม่สามารถสร้างปัจจัยการแข็งตัวของเลือด (clotting factors) ทำให้กระบวนการแข็งตัวของเลือดบกพร่อง

ที่ร้ายแรง จะมีอาการอาเจียนเป็นเลือด เนื่องจากหลอดเลือดขอดที่หลอดอาหาร (esophageal varices) แล้วแตก ซึ่งบางรายอาจรุนแรงถึงช็อกและตายได้

ในผู้ป่วยที่เป็นตับแข็งระยะรุนแรง อาจมีภาวะไตวายแทรกซ้อน

ในระยะสุดท้ายเมื่อตับทำงานไม่ได้ (ตับวาย) ก็จะเกิดอาการทางสมอง (hepatic encephalopathy) ในที่สุดมีอาการหมดสติ เรียกว่า ภาวะหมดสติจากตับวาย (hepatic coma)

นอกจากนี้ยังพบว่ามีโอกาสเป็นมะเร็งเซลล์ตับสูงกว่าคนปกติ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งมีสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ฝ่ามือแดง มีจุดแดงรูปแมงมุมที่หน้าอก หน้าท้อง จมูก ต้นแขน เท้าบวม ท้องบวม

อาจมีอาการตาเหลืองเล็กน้อยหรือไม่มีก็ได้

อาจมีไข้ต่ำ ๆ ต่อมน้ำลายข้างหู (parotid gland) โตคล้ายคางทูม หรือมีอาการขนร่วง

ในผู้ชายอาจพบอาการนมโตและเจ็บ

อาจคลำตับได้ มีลักษณะค่อนข้างแข็ง ผิวเรียบ

ถ้าเป็นมาก จะพบว่ารูปร่างผอมแห้ง ซีด ท้องโตมาก หลอดเลือดพองที่หน้าท้อง มือสั่น ม้ามโต นิ้วปุ้ม มีจุดแดงจ้ำเขียวตามผิวหนัง

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด (ทดสอบการทำงานของตับและหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี) อัลตราซาวนด์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ สแกนตับ

บางรายแพทย์อาจทำการตรวจวัดปริมาณพังผืดในตับ (ด้วยเทคนิคที่เรียกว่า “Transient elastography” โดยการใช้เครื่องอัลตราซาวนด์พิเศษ–“Fibroscan”) หรือทำการตรวจชิ้นเนื้อตับ เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. ถ้าเป็นตับแข็งในระยะแรกเริ่ม แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

    ให้การรักษาตามอาการ และบำรุงร่างกายด้วยอาหาร และวิตามินเกลือแร่เพื่อป้องกันและแก้ไขภาวะขาดสารอาหาร (เช่น ถ้ามีภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็ก ก็ให้ยาเม็ดบำรุงโลหิต)
    ข้อสำคัญผู้ป่วยที่ดื่มแอลกอฮอล์ต้องงดดื่มโดยเด็ดขาด และหลีกเลี่ยงหรือระมัดระวังการใช้ยาที่อาจมีผลกระทบต่อตับ 
    ถ้าพบสาเหตุของตับแข็ง ก็ให้บำบัดแก้ไข เช่น ถ้าเกิดจากการดื่มสุราจัด ก็จะทำการบำบัดให้เลิกสุรา ถ้าเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ก็จะให้ยาต้านไวรัส
    ป้องกันการติดเชื้อด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันตับอักเสบ ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ
    ถ้ามีอาการบวมหรือท้องมาน (มีน้ำในท้อง) ก็ให้ยาขับปัสสาวะ งดอาหารเค็ม จำกัดปริมาณน้ำที่ดื่ม
    ทำการตรวจกรองมะเร็งตับระยะแรกด้วยการตรวจเลือด (รวมทั้งดูระดับของสารแอลฟาฟีโตโปรตีนในเลือด) และการตรวจอัลตราซาวนด์ ทุก 6 เดือน

2. ถ้ามีโรคติดเชื้อ (เช่น ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ) อาการซึม เพ้อ ไม่ค่อยรู้ตัว ไตวาย อาเจียนเป็นเลือด หรือมีเลือดออกตามที่ต่าง ๆ แพทย์จะรับตัวไว้ในโรงพยาบาล แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ/ยาต้านไวรัส (ถ้ามีโรคติดเชื้อแบคทีเรีย/ไวรัส) ให้เลือด (ถ้าเสียเลือด) ล้างไต (ถ้ามีภาวะไตวาย) และรักษาภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่ตรวจพบ

ผู้ป่วยอาจต้องเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลเป็นประจำ จนในที่สุดมักจะเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ตกเลือด ภาวะตับวาย โรคติดเชื้อ เป็นต้น

3. แพทย์อาจพิจารณาทำการปลูกถ่ายตับในผู้ป่วยตับแข็งบางราย ซึ่งช่วยให้สามารถมีชีวิตยืนยาว


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการตาเหลืองตัวเหลือง อ่อนเพลีย ปวดเสียดใต้ชายโครงขวา หรือพบฝ่ามือแดง จุดแดงรูปแมงมุม เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นตับแข็ง ควรดูแลตนเอง ดังนี้

1. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

    ห้ามดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันมิให้เซลล์ตับส่วนที่ยังดีอยู่ถูกทำลายมากขึ้น หากเป็นโรคตับแข็งในระยะแรกเริ่ม ก็จะช่วยให้มีชีวิตอยู่ได้ยาวนาน
    กินอาหารพวกแป้งและของหวาน ผัก ผลไม้สด และอาหารพวกโปรตีนเป็นประจำ ยกเว้นในระยะท้ายของโรค ที่เริ่มมีอาการทางสมองร่วมด้วย จำเป็นต้องลดอาหารพวกโปรตีนลงเหลือวันละ 30 กรัม เพราะอาจสลายตัวเป็นสารแอมโมเนียที่มีผลต่อสมอง
    ถ้ามีอาการบวมหรือท้องมาน ควรงดอาหารเค็ม และห้ามดื่มน้ำเกินวันละ 2 ขวดกลมหรือ 6 ถ้วย (1‚500 มล.)
    หลีกเลี่ยงการใช้ยาและสมุนไพรด้วยตัวเอง เพราะอาจมีพิษต่อตับมากขึ้น ถ้าจะใช้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
    รักษาร่างกายให้แข็งแรงด้วยการออกกำลังกายตามที่ร่างกายจะอำนวย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หาทางผ่อนคลายความเครียด ไม่สูบบุหรี่ สร้างสุขนิสัยในการป้องกันโรคติดเชื้อทางเดินหายใจและทางเดินอาหาร (เช่น สวมหน้ากากอนามัยเมื่อเข้าไปในที่ ๆ มีคนแออัด หรือมีการระบาดของไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่หรือชโลมมือด้วยแอลกอฮอล์ เป็นต้น)

2. ติดต่อรักษากับแพทย์ตามนัด อาจต้องตรวจเลือดและอื่น ๆ เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของโรคเป็นระยะ ๆ

3. ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด

    ถ้ามีอาการไข้ ปวดท้องมาก ซึมมาก เพ้อ อ่อนเพลียมาก กินไม่ได้ อาเจียนเป็นเลือด หรือมีเลือดออกตรงส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย หรือมีอาการที่ชวนให้รู้สึกวิตกกังวล
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากหรือติดต่อกันนาน ๆ และถ้าตรวจพบว่าเป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ควรงดดื่มโดยเด็ดขาด

2. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบจากไวรัสบี ตั้งแต่แรกเกิด

3. ระมัดระวังในการใช้ยาที่อาจมีพิษต่อตับ

4. ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะไขมันสะสมในตับ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดตับแข็ง

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้ถ้าเป็นระยะแรกเริ่ม และปฏิบัติตัวได้เหมาะสม จะสามารถมีชีวิตได้นานเกิน 5-10 ปีขึ้นไป แต่ถ้าปล่อยให้มีภาวะแทรกซ้อนชัดเจน เช่น ดีซ่าน ท้องมาน อาเจียนเป็นเลือด ก็อาจอยู่ได้ 2-5 ปี (ประมาณ 1 ใน 3 อาจอยู่ได้เกิน 5 ปี)

2. ผู้ป่วยตับแข็งที่ตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ควรตรวจเลือดหาสารแอลฟาฟีโตโปรตีน (alphafetoprotein) ทุก 3-6 เดือน เพื่อตรวจกรองหาโรคมะเร็งตับระยะแรกเริ่ม เพราะเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งชนิดนี้สูง

5
จัดฟันบางนา: เช็คด่วน! จากปัญหาเล็ก ๆ สู่การสูญเสียฟันถาวร !

เชื่อว่ามีหลายคนที่อาจจะพบเจอ หรือสังเกตเห็นปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในช่องปากของตนเอง แต่ก็คิดแค่ว่าเป็นปัญหาเล็ก ๆ ปล่อยไปเดี๋ยวก็หายไปเองได้ ไม่ต้องไปพบทันตแพทย์ให้เสียเวลา บ้างก็กลัวทันตแพทย์จะหาว่าตื่นตูมกับปัญหาเล็กๆน้อยๆ ซึ่งขอบอกเลยว่าอย่าคิดแบบนั้นเลย เพราะ หากว่าคุณผู้อ่านสังเกตเห็นช่องปากมีปัญหาแม้เพียงเล็กน้อยอย่างไรก็ตาม เช่น แปรงฟันแล้วมีเลือดออกตามไรฟัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่องปากที่แสดงออกว่าไม่ปกติ ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตามล้วนแต่คือสัญญาณบอกเหตุร้ายในอนาคตหากว่าไม่ได้รับการแก้ปัญหา

ซึ่งในวันนี้จะขอพาคุณผู้อ่านมาร่วมเดินทางทำความรู้จักกับปัญหาเล็กๆน้อยๆ สู่การสูญเสียฟันแท้ตามธรรมชาติอย่างถาวรกัน ซึ่งก่อนจะสูญเสียฟันไปนั้น มีสัญญาณเตือนเป็นขั้นเป็นตอนตามลำดับ ส่วนจะมีอะไรบ้างลองไปอ่านกันดีกว่า

จุดเริ่มต้นของการสูญเสียฟัน!

1.    เลือดออกขณะแปรงฟัน

ต้องของบอกก่อนเลยว่า ช่องปากที่สะอาดพอ รวมถึงเหงือกและฟันที่แข็งแรง จะไม่มีเลือดออกในขณะที่แปรงฟัน ซึ่งหากว่าคุณผู้อ่านสังเกตเห็นว่าในขณะที่แปรงฟันอยู่นั้นได้มีเลือดออก แสดงให้เห็นว่าช่องปากของคุณกำลังไม่ปกติ

ซึ่งเลือดออกในขณะแปรงฟันนั้นส่วนใหญ่เกิดจากสาเหตุมีการสะสมของคราบพลัดจำนวนมากก่อตัวขึ้นบริเวณรอบๆฟัน ซึ่งการเลือดออกในขณะแปรงฟันนี้นี่เองคือสัญญาณบอกเหตุระดับแรกของปัญหาสุขภาพเหงือก และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การสูญเสียฟันอย่างถาวร



2.    มีกลิ่นปาก

กลิ่นปากถือว่าเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกได้ว่า คุณกำลังเข้าใกล้ปัญหาของสุขภาพเหงือก และช่องปากไปอีกหนึ่งก้าว

ซึ่งอย่างที่บอกไปว่าการสะสมของคราบพลัด ส่งผลให้เกิดแบคทีเรียจำนวนมากเกาะที่ฟัน นอกจากจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพเหงือกแล้ว ยังก่อให้เกิดกลิ่นปากได้เนื่องจากว่า แบคทีเรียในคราบพลัดจำนวนมากได้ทำปฏิกิริยาการย่อยเศษอาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟัน และปล่อยแก๊สที่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมา นั่นเองที่ส่งผลให้ช่องปากมีกลิ่น นอกจากจะทำให้เสียบุคลิกภาพแล้ว ยังเป็นหนึ่งในสัญญาณเบื้องต้นว่า ช่องปากของคุณกำลังมีปัญหาอีกด้วย


3.    เหงือกบวม

อีกหนึ่งในปัญหาหลังจากที่ละเลยการรักษาสุขภาพช่องปากที่มักพบได้บ่อยก็คือ อาการเหงือกบวม หรือ เหงือกอักเสบ โดยจะมีลักษณะ นูน และ แดง ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ชัดเจนมากว่าคุณกำลังมีปัญหาเรื่องสุขภาพเหงือก

สาเหตุหลัก ๆที่ทำให้ เหงือกบวม หรือเหงือกอักเสบ ก็คือ คราบพลัดที่ก่อตัวขึ้นรอบ ๆโคนฟันที่ติดกับเหงือกมีจำนวนมาก และไม่ได้รับการรักษาดูแลแก้ไข คราบพลัดพวกนี้นี่เองจะทำให้เหงือกรอบ ๆฟันเริ่มมีการอักเสบ และหากยังไม่รีบทำการรักษาหรือดูแล การอักเสบนี้อาจจะลุกลามไปยังเบ้าเหงือกที่เป็นส่วนยึดติดของเหงือกและฟัน สร้างปัญหาสุขภาพเหงือกที่ร้ายแรงยิ่งขึ้น


4.    เหงือกร่น

เหงือกร่น คือการที่เหงือกรอบ ๆโคนฟันค่อย ๆเคลื่อนที่ออกจากตำแหน่งปกติ หากละเลยปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้รับการแก้ไข ก็จะทำให้เหงือกร่นจนเห็นลากฟันได้

ซึ่งหากว่าเริ่มมีเหงือกร่น จะเริ่มมีอาการเสียวฟัน และอาจจะสังเกตเห็นได้ว่าฟันเริ่มยาวขึ้นกว่าปกติ และลักษณะเหงือกอาจจะมีสภาพไม่เหมือนเดิม ปัญหาเหงือกร่นนั้นถือว่าอาจจะส่งผ่านไปยังปัญหาที่ร้ายแรงขึ้น เพราะงั้นจึงไม่ควรที่จะมองข้ามโดยเด็ดขาด


5.    สูญเสียฟัน

ต้องขอบอกเลยว่าการสูญเสียฟันนั้น ถือว่าเป็นหนึ่งในอาการที่ร้ายแรงมากสำหรับปัญหาสุขภาพเหงือก หรือที่เรียกว่า โรคปริทันต์อักเสบ

ซึ่ง โรคปริทันต์อักเสบ คือการติดเชื้อในเนื้อเยื่อยึดติดปริทันต์และกระดูกรอบฟัน โรคนี้ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในโรคร้ายแรงโรคหนึ่งในช่องปากเลยก็ว่าได้ เพราะหากว่าไม่ได้รับการรักษาก็อาจจะส่งผลให้สูญเสียฟันไปอย่างถาวรได้ รวมถึงอาจจะส่งผลถึงโรคร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ ได้อีกด้วย

ทั้งหมดนี้ก็คือสัญญาณเตือนที่หลาย ๆคนไม่ได้ใส่ใจ หรือละเลย โดยสัญญาณเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้นี่เอง ที่ทำให้หลาย ๆคนคิดไปว่าไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวก็หายได้เอง ซึ่งตามจริงแล้วหากมีสัญญาณต่าง ๆขึ้นมาแล้วล่ะก็ ให้รีบเข้าพบทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยด่วน เพื่อได้รับการแก้ไขที่ทันเวลาและถูกวิธี จะได้ไม่ต้องสูญเสียฟันไปนั่นเอง

6
เด็กควรจัดฟันเด็กตอนอายุเท่าไหร่

การจัดฟัน ถือได้ว่า เป็นการรักษาทางทันตกรรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะนอกจากจะเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพแล้ว การจัดฟันยังเป็นเทรนด์ยอดฮิตในหมู่วัยรุ่นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม การจัดฟันถือว่าสามารถแก้ไขปัญหาฟันได้แทบทุกกรณีไม่ว่าจะเป็น ปัญหาฟันซ้อน ฟันเก ฟันห่าง หรือแม้กระทั่งคนที่เคยผ่านการจัดฟันมาแล้ว แต่ไม่สวมใส่รีเทนเนอร์ ก็อาจจะต้องเข้ารับการจัดฟันอีกรอบ แต่ในกรณีของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กนั้น มีความสำคัญมาก เพราะฉะนั้น ผู้ใหญ่หรือพ่อแม่ผู้ปกครอง ควรที่จะปลูกฝังหรือเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของบุตรหลานของท่านให้มาก เพราะการขึ้นของฟันแม้นั้น ก็มีผลมาจากฟันน้ำนมด้วยเช่นเดียวกัน

ดังนั้น การดูแลฟันตั้งแต่อายุยังน้อย ถือว่ามีความสำคัญมากเลยทีเดียว พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะพาบุตรหลานของท่านเข้าพบทันตแพทย์เพื่อทำการตรวจช่องปากและฟันเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 2ครั้ง หรือถ้าหากบุตรหลานของท่านมีปัญหาในเรื่องของรูปร่างของฟัน หรือลักษณะการขึ้นของฟันแม้ที่มีความผิดปกติ ก็สามารถพาเด็กเข้าพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟัน ซึ่งการจัดฟันในเด็กนั้น สามารถทำได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะมีนวัตกรรมรูปแบบใหม่ที่สามารถจัดฟันเด็กได้ แต่ผู้ปกครองหลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่า การจัดฟันในเด็กนั้น สามารถจัดได้ตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เลยทีเดียว และวันนี้เราจะมาพูดถึงการจัดฟันในเด็ก ว่าควรเข้ารับการจัดฟันตอนอายุเท่าไหร่ เพื่อที่จะได้ตัดสินใจหรือเป็นแนวทางในการเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สำหรับบุตรหลานของท่าน

ซึ่งปัญหาในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กนั้น ก็มีด้วยกันหลักหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็นการรับประทานของหวาน ซึ่งในวัยเด็กนั้นการรับประทานขนมหรือลูกอม ถือเป็นเรื่องที่ปกติและเด็กบางคนก็ชื่นชอบการรับประทานของหวานแต่ก็เป็นเรื่องที่ผู้ปกครองจะต้องดูแลด้วยเช่นกัน เพราะการที่เด็กรับประทานขนมหรือลูกอม ถือเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดฟันผุในวัยเด็ก นอกจากนี้ ปัญหาในเรื่องของการสบฟันที่ผิดปกติ ก็ส่งผลให้เด็กมีรูปร่างของฟันที่ไม่สวยงาม


สาเหตุของการสบฟัน ที่ผิดปกติ อาจจะมีสาเหตุมาจากพันธุกรรมเพราะเด็กบางคน มีขนาดขากรรไกรเล็ก ไม่สมดุลกับจำนวนซี่ของฟัน ทำให้เกิดฟันซ้อนหรือบางคนมีขากรรไกรที่ยื่น ก็อาจจะทำให้ฟันสบคร่อม โดยสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการเข้ารับการจัดฟัน นอกจากนี้ ในเรื่องของสภาพแวดล้อมหรือพฤติกรรมบางอย่างก็อาจส่งผลให้เด็กมีฟันซ้อน ฟันเกได้ เช่น พฤติกรรมการดูดนิ้ว ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ฟันหน้าอยู่ ในตำแหน่งที่ผิด ทำให้เกิดการสบฟันที่ผิดปกติขั้นรุนแรงได้เลยทีเดียว เพราะฉะนั้น การเข้ารับการจัดฟันในวัยเด็กนั้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สามารถทำได้แม้ว่าการจัดฟันอาจจะไม่ได้จำเป็นสำหรับเด็กทุกคน แต่การที่พ่อแม่ผู้ปกครองพาบุตรหลานของท่านไปตรวจกับทันตแพทย์เป็นประจำก็สามารถแก้ไขปัญหาได้และถ้าหากพบสัญญาณของความผิดปกติก็ควรที่จะรีบแก้ไข

สำหรับการจัดฟันในเด็กนั้นสามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 7-15 ปี ซึ่งในช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่ฟันน้ำนมหลุดหมดแล้วและมีฟันแท้ขึ้นครบแล้ว เป็นวัยและช่วงอายุที่ควรจะเข้ารับการจัดฟัน ซึ่งในวัยนี้ถ้าหากตรวจพบสัญญาณผิดปกติก็สามารถเข้ารับการจัดฟันได้ซึ่งการจัดฟันในวัยนี้จะช่วยลดปัญหาฟันผุขั้นรุนแรงได้ นอกจากนี้ ทันตแพทย์ผู้ทำการรักษาก็อาจจะช่วยหาทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับฟันได้

ดังนั้น การจัดฟันในเด็กถือว่าช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กได้หลายอย่างทำให้เด็กมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม มีรอยยิ้มที่สดใส และสามารถทำความสะอาดฟันได้ง่ายขึ้น ซึ่งเรื่องของความสะอาดในช่องปากและฟันนั้นถือเป็นเรื่องสุขอนามัยที่ทุกคนควรที่จะเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษด้วย หากพ่อแม่ผู้ปกครองสนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดฟันในเด็ก จึงมั่นใจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีรอยยิ้มที่สดใสสมวัยอย่างแน่นอน

7
โปรแกรมหมอประจำบ้านอัจริยะ: โรคขาดวิตามินเอ/เกล็ดกระดี่ขึ้นตา (Vitamin A deficiency)

โรคขาดวิตามินเอ ยังพบได้ในท้องที่ชนบทบางแห่ง (พบบ่อยทางภาคอีสาน) และในเด็กที่ยากจน

ภาวะขาดวิตามินเอ ทำให้ประสาทตาส่วนที่เรียกว่าจอตา หรือเรตินา (retina) เสื่อม ทำให้เยื่อบุตาแห้งและต่อมน้ำตาไม่ทำงาน จึงอาจทำให้เด็กที่เป็นโรคนี้ตาบอดได้ ดังที่ชาวบ้านรู้จักกันดีว่าเป็น โรคเกล็ดกระดี่ขึ้นตา


สาเหตุ

มักจะพบในเด็กวัยแรกเกิดถึงอายุ 5 ปี เกิดจากการกินอาหารที่มีวิตามินเอน้อยไป เช่น กินแต่นมข้นหวาน กล้วยบดและข้าว โดยไม่ได้อาหารเสริมอื่น ๆ โรคนี้มักจะพบร่วมกันไปกับโรคขาดอาหาร บางรายอาจเป็นหลังจากเป็นโรคติดเชื้อ (เช่น หัด ปอดอักเสบ) หรือท้องเดินเรื้อรัง

ในผู้ใหญ่พบได้น้อย ถ้าพบมักมีสาเหตุจากโรคอื่น ๆ เช่น โรคตับเรื้อรัง โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง เป็นต้น มีผลทำให้การดูดซึมวิตามินเอน้อยลง


อาการ

เริ่มแรกจะมีอาการตาฟางหรือมองไม่เห็นเฉพาะตอนกลางคืนหรือในที่มืด ๆ (แต่มองเห็นเป็นปกติในเวลากลางวัน และในที่สว่าง ๆ) เนื่องจากจอตาเริ่มเสื่อม ต่อมาเยื่อตาขาวแห้ง เมื่อเป็นมากขึ้นเยื่อตาขาวจะย่นอยู่รอบ ๆ กระจกตาดำดูคล้ายเกล็ดปลา และกระจกตาดำซึ่งปกติสะท้อนแสงวาววับ จะแห้งและไม่มีประกาย ตาขาวจะเปลี่ยนเป็นสีเทาหรือสีเงิน เห็นเป็นจุดใหญ่ทางด้านหางตา เรียกว่า จุดบิทอตส์ (Bitot’s spot) หรือเกล็ดกระดี่ อาจเป็นที่ตาทั้ง 2 ข้าง ถ้ารักษาในระยะนี้จะแก้ได้ทัน

ในเด็กเล็กมักตรวจพบเมื่อมีการอ่อนตัวของกระจกตาดำแล้ว จะพบหนังตาบวม ปิดตาแน่น ไม่ยอมลืมตา


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าปล่อยทิ้งไว้กระจกตาจะเกิดการอ่อนตัว เป็นแผล และเกิดรูทะลุ มีเชื้อโรคเข้าไปในลูกตา ทำให้เกิดการอักเสบภายในลูกตา ตาบอดได้ นอกจากนี้ เด็กที่มีภาวะขาดวิตามินเอหากเป็นหัด อาจกลายเป็นโรคหัดชนิดรุนแรงได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

เยื่อตาขาวรอบ ๆ กระจกตาดำเป็นรอยย่น กระจกตาดำขุ่นมัวไม่สะท้อนแสงและเกล็ดกระดี่ตรงด้านหางตา

ถ้าจำเป็น แพทย์จะทำการตรวจระดับวิตามินเอในเลือด


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. เมื่อเริ่มมีอาการตาบอดกลางคืน หรือเริ่มมีเกล็ดกระดี่ขึ้นตา แพทย์จะให้กินวิตามินเอชนิดแคปซูล หรือหากจำเป็นอาจใช้วิตามินเอชนิดฉีด

2. ถ้ามีการติดเชื้ออักเสบ แพทย์จะรับไว้รักษาในโรงพยาบาล ให้กินวิตามินเอชนิดแคปซูล หรือฉีดวิตามินเอ ร่วมกับให้กินยาปฏิชีวนะ เช่น อะม็อกซีซิลลิน อีริโทรไมซิน ถ้าเด็กปิดตาแน่น อย่าพยายามเปิดตาเด็ก เพราะอาจทำให้กระจกตาดำแตกทะลุได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการตาฟางหรือมองไม่เห็นเฉพาะตอนกลางคืนหรือในที่มืด ๆ  ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคขาดวิตามินเอ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา 
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

โรคนี้เป็นแล้วทำให้ตาบอดได้ แต่เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยการกินอาหารที่มีวิตามินเอสูง เช่น เนื้อ ตับ ไข่ นม ฟักทอง มะเขือเทศ มะละกอสุก ผักใบเขียว (ผักบุ้ง ใบตำลึง ใบมันสำปะหลัง) พริกที่เผ็ด ๆ จึงควรแนะนำให้เด็ก ๆ กินอาหารเหล่านี้ให้มากเป็นประจำ

ถ้าไม่แน่ใจว่าเด็กจะได้รับอาหารที่มีวิตามินเอเพียงพอ อาจให้กินวิตามินเอเสริม

ข้อแนะนำ

เด็กที่มีภาวะขาดวิตามินเอ เมื่อเป็นหัด ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อพิจารณาให้วิตามินเอเสริม ซึ่งจะช่วยลดความพิการและการเสียชีวิตลงได้

8
ทอดมันกุ้งสีเหลืองทอง กรอบนอกนุ่มในรสชาติร่อยถูกปาก ขายอาหารสตรีทฟู้ดสร้างรายได้ ที่ได้รับความนิยม

ทอดมันกุ้งทอดหรือที่คนไทยเรียกว่าทอดมันกุ้งกรอบนอก นุ่มใน รสชาติกลมกล่อม แพตตี้สีทองอร่ามเหล่านี้คืออาหารเรียกน้ำย่อยที่แสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ด้านการทำอาหารของไทย ทอดมันกุ้งนิยมทานคู่กับน้ำจิ้มบ๊วยเจี่ยหรือน้ำจิ้มไก่เพื่อเพิ่มรสชาติให้อร่อยยิ่งขึ้น นอกจากจะหาซื้อได้ตามร้านขายอาหารสตรีทฟู้ดทั่วไปแล้ว หลายคนยังนิยมทำกินเองที่บ้านได้ด้วย

ทอดมันกุ้ง เป็นอีกหนึ่งอาหารสตรีทฟู้ดที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย ด้วยรสชาติที่อร่อยถูกปาก และทำง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก ทอดมันกุ้งทำจากกุ้งที่นำมาสับหรือบดจนละเอียด ผสมกับส่วนผสมต่าง ๆ เช่น แป้ง ไข่ เครื่องปรุงรสและผักบางชนิด เช่น แครอท ถั่วฝักยาว จากนั้นนำไปปั้นเป็นก้อนกลมหรือแบน แล้วนำไปทอดในน้ำมันร้อน ๆ จนมีสีเหลืองทองและกรอบนอกนุ่มใน

ทอดมันกุ้งคืออะไร?
เค้กกุ้งทอดทำโดยการปั่นกุ้งสดกับเครื่องปรุงรส สมุนไพร และบางครั้งก็ใส่แป้งหรือแป้งมันเล็กน้อยเพื่อให้ส่วนผสมเข้ากัน จากนั้นปั้นเป็นชิ้นเล็กๆ ชุบเกล็ดขนมปัง แล้วทอดจนเหลืองกรอบ อร่อยจนได้ขนมกรุบกรอบ หอมกรุ่น และรสชาติกุ้งเข้มข้น

ทำไมพวกเขาถึงเป็นที่ชื่นชอบของอาหารริมทาง
กรอบและฉ่ำ:ภายนอกที่กรุบกรอบผสมผสานกับไส้กุ้งที่อ่อนนุ่มทำให้มีรสชาติที่น่าพึงพอใจ
อาหารว่างราคาประหยัด:หาซื้อได้ตามแผงขายอาหารริมถนนและตลาดกลางคืนทั่วไป เค้กกุ้งมีราคาสมเหตุสมผล ทำให้ทุกคนสามารถซื้อได้
เมนูสารพัดประโยชน์:สามารถรับประทานเป็นของว่าง อาหารเรียกน้ำย่อย หรือแม้กระทั่งเป็นส่วนหนึ่งของมื้ออาหารกับข้าวหรือก๋วยเตี๋ยว
เหมาะสำหรับเด็ก:มีรสชาติอ่อนๆ และรับประทานง่าย อาหารจานนี้เป็นที่ชื่นชอบของทั้งเด็กและผู้ใหญ่

วิธีการเสิร์ฟ
โดยทั่วไปแล้ว ทอดมันกุ้งจะเสิร์ฟพร้อมซอสพลัมหวานหรือซอสพริกซึ่งช่วยเพิ่มรสชาติหวานอมเปรี้ยวให้กับแพตตี้รสเผ็ด บางร้านยังเสิร์ฟพร้อมแตงกวาสดหั่นบางหรือผักดองเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับปากอีกด้วย

ไม่ว่าคุณจะออกสำรวจถนนอันพลุกพล่านในกรุงเทพฯ ตลาดกลางคืนในเชียงใหม่ หรือแผงลอยริมทะเลในภูเก็ต ทอดมันกุ้งทอดก็เป็นเมนูที่ต้องลอง ทอดมันกุ้งทอดคืออาหารริมทางที่สะท้อนถึงแก่นแท้ของอาหารไทย วัตถุดิบเรียบง่ายที่เปลี่ยนรสชาติให้กลายเป็นอาหารรสเลิศที่ยากจะต้านทาน

ทอดมันกุ้ง ไม่ได้เป็นแค่ของว่าง ข้างทาง แต่เป็นขนมไทยรสชาติกรุบกรอบที่ใครๆ ก็อยากสัมผัส


9
ทำไม รถรับจ้างขนย้ายบ้าน อุดรธานี ถึงมีสภาพใหม่ตลอดเวลา เขามีวิธีดูแลอย่างไร

ทุกคนเคยสงสัยกันไหม รถรับจ้างขนของอุดรธานี ที่รับส่งของทุกที่ทั่วไทย ไม่ว่าจะขนย้ายบ้าน ขนย้ายเครื่องครัว ขนย้ายของใช้อุดรธานี หรือขนย้ายของทุกประเภท รถรับจ้างที่ฝ่าฟันไปกับสิ่งต่างๆไม่ว่าจะจอดอยู่กับความร้อนที่มาก เจอมรสุมที่เยอะ ทำไมยังใหม่และสะอาดและเครื่องยังดีอยู่ เขามีอะไรดี พอจะบอกได้ไหม เพื่อจะนำไปปรับใช้กับรถบ้านอย่างเรา

แน่นอนว่ารถรับจ้างขนของจอดอยู่กับที่30วันก็วิ่งแทบไม่หยุดจะเอาเวลาไหนมาดู ต้องบอกเลยนะค่ะว่า รถรับจ้างที่เราทำการรับจ้างขนของเราฝ่าฟันทุกช่วงสถานการณ์ เขาคือเครื่องมือทำมาหากินของเรา เป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องดูลเขาอย่าดี คอยใส่ใจเขา เหมือนกับคนคนหนึ่งเลย

รถมีการบรรทุกหนัก ราว 1.5ตัน-2ตัน บ้างก็บรรทุกเบาคือขนย้ายของทั่วไป แต่การดูแลรักษาคือกวาด เช็ด ทำวามสะอาด คอยตรวจดูเครื่อง ทุกครั้งอย่างสม่ำเสมอ

รวมผลงานรถรับจ้าง
หาก ไม่มีเวลาจริงๆ ก็ต้องใช้สเปรย์ชนิดล้างรถแล้วเชดออก ก็สามารถช่วยบรรเทาให้รถเราขาวสะอาดและดูดีได้ แต่น้ำยานั้น ก็บอกเลยว่า เขาถนอนเรื่องสีรถไม่ต้องกังวลว่าสีรถเราจะเกิดปัญหาอะไร สามารถป้องกันแสงแดดได้ดี

เมื่อเรามีรถบ้าน รถเก๋ง รถปิ๊กอัพอุดรธานี เรามีเวลาที่จะดูแลมากกว่า รถรับจ้างซึ่งเราต้องให้เวลาในการดูแลรักษารถไม่เกิน 15นาที รถของราก็สภาพดี พร้อมใช้งาน ดูแลเบื้องต้นให้ดี ถึงเวลาเปลี่ยนถ่ายน้ำมันก็ต้องไป ไม่ผัดวันประกันพรุ้ง ถือว่าดี เข้าศูนย์เช็คผ้าเบรก 

ในเรื่องของรถไม่มี่อะไรมากแค่หาเวลาใส่ใน 15นาที รถของเราก็จะดีและทนทานต่อการใช้งานได้นานค่ะ เราทีมงานขนย้ายคุณภาพ ก็มารดูแลรักษารถให้ใหม่ สะอาด สภาพพร้อมใช้งานสม่ำเสมอ เพราะการขนย้ายลูกค้าก็ต้องการรถใหม่ สะอาด รวมทั้งให้บริการที่ดี

เพื่อให้เกิดความประทับใจมากสุด พร้อมทั้ง การขนย้ายในทุกครั้งไม่ว่าลูกค้าจะขนย้าย ไซต์งานก่อสร้าง หรือขนย้ายนั่งร้าน ขนย้ายเหล็ก ที่เป็นของหนัก หรือขนย้าย กล่องพัสดุ ขนย้ายมอเตอร์ไซต์ ขนย้ายจักรยาน ขนย้ายที่นอน ขนย้ายเตียงผู้ป่วย ขนย้ายร้าน ทางเราก็มีการรับประกันสินค้าตลอดการขนย้าย

เพียงแค่ลูกค้าลองได้ใช้บริการ รถรับจ้างราคาถูกอุดรธานี รถขนของอุดรธานี รถกระบะรับจ้าง และรถหกล้อรับจ้างขนของกับเรา เราจะดูแลงานขนย้ายให้ดีที่สุด รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน การให้บริการของเราก็มุ่งเน้นการส่งที่สำเร็จลูกค้าพอใจ และการเสนอราคาที่เป็นกันเอง รับขนของย้ายของทุกพื้นที่ รถรับจ้างใกล้บ้านคุณ เรียกใช้รถรับจ้างเร่งด่วนทันใจได้ 24ชั่วโมง

ผลงานรับจ้างขนของ

24ชั่วโมงของการที่จะเสนอราคา 24ชั่วมองของการให้บริการรถรับจ้าง ลูกค้าอยากขนย้ายช่วงเวลาไหนแจ้งมาได้เลยนะค่ะ เราเต็มที่กับการขนย้าย

ถ้ากรณีคนยกไม่มี ขอแค่แจ้งเรา เรามีคนยกของ คนยกสินค้า รถรับจ้างพร้อมคนยกอุดรธานี แจ้งก่อนเลย หรือต้องการอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเพิ่มอีก ก็แจ้งได้ ไม่มีคนถอดประกอด ให้ลูกค้าแจ้งว่าของทีจะให้ถอดเป็นอะไรบ้าง ทางเราจะได้จัดเตรียมเครื่องมือที่เหมาะสมให้กับลูกค้าเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับการขนย้าย

สนใจจะใช้บริการ รถรับจ้างขนของ ย้ายของอุดรธานี เราเต็มที่กับงานขนย้าย พร้อมที่จะขนย้ายทุกเวลา ถ้าไม่ทราบว่าของแต่ละประเภทต้องใช้รถประเภทไหนในการขนย้าย สามารถโทรเข้ามาสอบถามหรือให้เราวางแผนการขนย้ายตลอดจนช่วยลูกค้าตัดสินใจได้รวดเร็วว่าต้องการใช้ รถกระบะรับจ้าง 6ล้อรับจ้าง เฮี๊ยบรับจ้าง หรือรถสิบล้อรับจ้างนั่นเองค่ะ เพื่อให้ตอบโจทย์สินค้าและเหมาะสมต่อการขนย้ายของ


10
รถรับจ้างใกล้ฉัน นครราชสีมา เรื่องขนย้ายของ ที่จะเป็นเรื่องสำหรับคุณ

รถกระบะรับจ้างนครราชสีมา รถขนของขนย้ายที่ช่วยคุณได้

วันนี้เราจะมาพูดถึงความแตกต่างระหว่าง รถกระบะรับจ้างทั่วไปแบบตู้ทึบ และ รถกระบะรับจ้างแบบคอกสูง ของรถกระบะรับจ้าง ซึ่งโดยตามหลักแล้วการใช้งานของรถรับจ้างทั้งสองประเภทนี้ จะมีความแตกต่างกันไม่มากแต่วันนี้เราจะมานำเสนอเฉพาะส่วนที่มีความแตกต่างและไม่สามารถที่จะชดเชยแทนกันได้ง่ายๆ

นั่นก็คือลักษณะของงานที่ทำการขนย้ายของซึ่งแน่นอนว่าผู้ใช้บริการ รถกระบะรับจ้างนครราชสีมา ของแต่ละคนก็จะมีวัตถุประสงค์ มีสินค้าที่มีความแตกต่างกัน จึงทำให้ต้องระบุในการจะจ้างรถกระบะรับจ้างในแต่ละครั้งว่า จะเอาแบบคอกสูงหรือจะเอาแบบตู้ทึบ เพื่อให้ง่ายต่อการขนย้ายและเพื่อให้สะดวกต่อการยกขึ้นและยกลง

ดังนั้นเราจึงจำแนกลักษณะของเนื้องานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนได้แก่

    รถกระบะรับจ้างแบบคอกสูง โดยตามหลักแล้วที่เราเห็นรถกระบะรับจ้างคอกสูงจังหวัดนครราชสีมา ส่วนมากจะเห็นขนย้ายสินค้าทางการเกษตรเช่น แตงโม มะม่วง สับปะรด มะพร้าวน้ำหอม เป็นต้น และส่วนมากแล้วจะมีการเพิ่มแหนบในการรับน้ำหนักของรถยนต์เนื่องจากว่าสินค้าทางการเกษตรจะมีน้ำหนักที่มาก ดังนั้นรถกระบะคอกสูงทุกคันจะมีการเสริม น้ำหนักเพื่อให้รองรับการขนย้ายได้เป็นอย่างดี
    รถกระบะรับจ้างนครราชสีมาแบบตู้ทึบ งานขนย้ายในลักษณะที่เป็นตู้ทึบนั้นส่วนมากจะเน้นในเรื่องของการขนย้ายหอจังหวัดนครราชสีมา ขนย้ายบ้านโคราช ขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งของภายในตัวบ้าน ขนย้ายสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่ง รถกระบะรับจ้างตู้ทึบนครราชสีมา แบบนี้จะมีความคล่องตัวและมีความปลอดภัยต่อสินค้าที่ทำการขนย้ายได้ดีเป็นอย่างมาก ป้องกันการตกหล่นของสินค้าระหว่างทางป้องกันฝนป้องกันฝุ่นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะฤดูฝน รถกระบะรับจ้างตู้ทึบจังหวัดนครราชนครราชสีมา จะเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมากของลูกค้าที่ต้องการขนย้ายของ

ดังนั้น ผู้ที่กำลังสนใจใช้บริการ รถรับจ้างจังหวัดนครราชสีมา ถ้าได้อ่านบทความนี้แล้วก็พอจะจำแนกและตัดสินใจได้ว่าจะเลือกใช้บริการรถรับจ้างขนของแบบไหนเพื่อที่จะสามารถขนย้ายสินค้าให้กับเราได้ง่ายและปลอดภัยมากที่สุด

   
รถหกล้อรับจ้างจังหวัดนครราชสีมา

สำหรับ รถหกล้อรับจ้างจังหวัดนครราชสีมา นั้นส่วนมากแล้วจะเป็นลักษณะของคอกแล้วมีผ้าใบคลุมปิดมิดชิด หรือบางคันสามารถที่จะเปิดด้านข้างในการนำสินค้าขึ้นรถได้โดยง่าย โดยปัจจุบันแล้วรถหกล้อรับจ้างแบบคอกจะใช้ในการขนย้ายงานประเภทงาน ขนย้ายบ้านนครราชสีมา ขนย้ายเฟอร์นิเจอร์นครราชสีมา ขนย้ายเครื่องจักรนครราชสีมา ซึ่ง รถหกล้อรับจ้างจังหวัดนครราชสีมา จะมีความเหมาะสมและง่ายต่อการขึ้นลงของลูกค้าจะนิยมใช้เป็นอย่างมาก
ส่วน รถหกล้อขนของตู้ทึบนั้นส่วนมากแล้วจะเป็นงานขนย้ายของโรงงานขนย้ายสินค้าโรงงานหรือ เป็นรถที่วิ่งงานประจำลักษณะการขนย้ายจึงมีความแตกต่างกัน ส่วนราคาค่าบริการนั้นจะไม่มีความแตกต่างกันมากหรือเท่ากันเลยก็ว่าได้ขึ้นอยู่กับลูกค้าว่าต้องการขนย้ายของชนิดอะไรก็สามารถเลือกรถรับจ้างได้ตามที่คุณต้องการ

   
รถขนของจังหวัดนครราชสีมา

คุณรู้หรือไม่ว่าจังหวัดนครราชสีมานั้นมีความต้องการในการที่ใช้บริการ รถขนของจังหวัดนครราชสีมา เป็นจำนวนมากด้วยพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่และมีอุตสาหกรรมมากมายการที่จะขนย้ายของขนย้ายสินค้าหรือย้ายที่อยู่ ย้ายบ้าน ย้ายหอ ผู้ใช้บริการมักจะใช้รถขนของ ที่เข้ามารับจ้างเพื่อความสะดวกสบาย โดยส่วนมากแล้วผู้ให้บริการจะมีรถพร้อมพนักงานยกสินค้า ทำให้การขนย้ายนั้นไม่จุกจิกและไม่เรื่องมาก ผู้ใช้บริการก็มีความประทับใจและไม่ว่าจะขนย้ายของอะไรก็สามารถทำได้ทั้งสิ้นซึ่ง รถขนของ ที่เราเห็นในปัจจุบันก็จะมีทั้งประเภท รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนครราชสีมา รถหกล้อขนของจังหวัดนครราชสีมา รถ 10 ล้อรับจ้างโคราช รถสี่ล้อใหญ่โคราช รถเฮี้ยบรับจ้างโคราช เป็นต้น

 
รถรับจ้างขนของจังหวัดนครราชสีมา มานานกว่า 10 ปี

หากจะพูดถึงเรื่องการบริการ รถรับจ้างขนของจังหวัดนครราชสีมา คงต้องนึกถึง ขนส่ง ซึ่งที่นี่ต้องยอมรับเลยว่าเค้ามีการให้บริการรถรับจ้างที่ครอบคลุมมี รถรับจ้างทุกชนิดทุกประเภทมีประสบการณ์ในการขนย้ายไม่ว่าสินค้านั้นจะหนักหรือเบา สินค้านั้นจะมีขนาด ที่แตกต่างกันประสบการณ์ของการขนย้ายของมานานกว่า 10 ปี จะทำให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องง่ายในทันที และมีความมั่นใจว่า รถรับจ้างขนของนครราชสีมา ของขนส่ง จะมีราคาที่ถูกและคุ้มค่าเงินอย่างแน่นอน

ด้วยต้นทุนที่ถูกกว่าและมีรถที่สภาพใหม่ทุกคัน ทำให้ลูกค้ามีความพึงพอใจและประทับใจทั้งในเรื่องของการบริการและชื่อเสียง ที่เราให้บริการมาอย่างยาวนาน มั่นใจเราได้เลย ไม่ผิดหวังแน่นอน

11
บริการทำความสะอาด: การเลือกซื้อน้ำยาล้างห้องน้ำ

ในปัจจุบัน ตามท้องตลาดก็มีน้ำยาทำความสะอาดให้เราดลือกมากมายหลายยี่ห้อหลายสูตร ซึ่งก็มีความแตกต่างกัน บางคนชอบเลือกซื้อน้ำยาล้างห้องน้ำที่เขียนว่าสูตรเข้มข้นซึ่งน้ำยาที่มีความเข้มข้นเหล่านี้มักมีความเป็นกรดหรือเป็นด่างสูงการใช้ต้องมีความระมัดระวังให้มาก ไม่ว่าจะเป็นการสูดดมเข้าทางระบบทางเดินหายใจ

การกระเด็นเข้าดวงตาหรือบาดแผล หรือโดนผิวหนังโดยตรง ล้วนมีความอันตรายทั้งนั้นถ้ามีการทำความสะอาดห้องน้ำโดยบ่อยๆเราควรเลือกน้ำยาที่เหมาะสมกับพื้นผิวและให้ความปลอดภัยมากกว่าราคาถูกอีกทั้งไม่ทำลายยาแนวในห้องน้ำ การเผลอราดน้ำยาล้างห้องน้ำทิ้งไว้บริเวณปูนยาแนวเพียงข้ามคืนสามารถทำให้ปูนยาแนวสลายไปเป็นผงได้ทันที ทำให้น้ำซึมเข้าร่องกระเบื้องปัญหาที่ตามมาคือ กระเบื้องร่อน หรือ น้ำซึมทะลุได้ ก็จะยิ่งสร้างปัญหาเพิ่มให้กับเหล่าแม่บ้านได้

ดังนั้น เราควรเลือกน้ำยาให้เหมาะสม ควรดูในเรื่องของปริมาณสารพิษและความเป็นกรดด่างไม่เกินกำหนดและให้เลือกแบบปกติไม่ต้องความเข้มข้นสูง จะปลอดภัยกว่าทั้งกับห้องน้ำและผู้ใช้และหมั่นทำความสะอาดห้องน้ำบ่อยๆ จะทำให้ไม่ต้องใช้สารเคมีเข้มข้นสูง และไม่ทำลายสุขภาพด้วย

ดังนั้น วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของการเลือกซื้อน้ำยาล้างห้องน้ำ ให้เหมาะสมกับพื้นผิวและไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของคนในบ้านด้วย เพราะน้ำยาล้างห้องน้ำมีฤทธิ์เป็นกรดเมื่อสัมผัสกับผิวหนังในร่างกายจะทำให้เกิดการระคายเคือง ผิวหนังไหม้ ปวดแสบปวดร้อนและเกิดผื่นแดงหรืออาจเกิดแผลอักเสบได้ หากสัมผัสกับผิวหนังให้รีบล้างออกทันทีและทางที่ดีควรจะป้องกันด้วยการสวมถุงมือก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ ด้วย

สำหรับการเลือกซื้อน้ำยาล้างห้องน้ำ ในปัจจุบันนี้มีมากมายหลายสูตร บางสูตรเขียนว่า เป็นสูตรเข้มข้นแต่อย่างไรก็ตามเราอาจจำแนกน้ำยาล้างห้องน้ำได้ออกมาเป็น 2 ประเภทหลักๆคือ ประเภทที่เป็นกรด เราจะสังเกตดูได้ว่าเวลาเราราดลงไปบนพื้น จะมีลักษณะฟู และมีกลิ่นฉุนเพราะมีกลิ่นของสารเคมีหลงติดมาด้วย เนื่องจากสารเคมีที่ใช้ผลิตน้ำยาล้างห้องน้ำชนิดนี้มาจากสารเคมีประเภทกรดนั่นเอง แต่คุณสมบัติการล้างดีเยี่ยม คือสามารถกัดขจัดคราบสกปรกออกได้รวดเร็วโดยเฉพาะคราบสนิมที่เกิดจากน้ำ แต่ก็ต้องระมัดระวังด้วย เพราะน้ำยาล้างห้องน้ำประเภทนี้จะแรงมากอาจจะทำลายพื้นผิวทำให้เกิดความเสียหายได้

น้ำยาประเภทนี้ มีกรดไฮโดรคลอริก ในปริมาณ 15-22% ก่อนใช้งานให้ผสมน้ำในอัตรา 1 ต่อ 1 ก่อนแล้วค่อยเทราดทำความสะอาดลงบนพื้นผิว สุขภัณฑ์ หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ปล่อยให้น้ำยาล้างห้องน้ำกัดกร่อนทำความสะอาด ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วค่อยทำความสะอาด ขัดถูด้วยแปรง และล้างออกด้วยน้ำสะอาด

ต่อมาเป็นประเภทที่เป็นแชมพู มีกลิ่นหอม น้ำยาล้างห้องน้ำประเภทนี้ ไม่มีส่วนผสมของกรด สามารถเทราดแล้วใช้แปรงขัดสิ่งสกปรกออก แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด สามารถล้างได้ทุกวันเป็นชนิดที่มีกรดไฮโดรคลอริกในปริมาณน้อยกว่า 15% ก่อนใช้งานน้ำยาล้างห้องน้ำชนิดนี้ให้ผสมน้ำในอัตรา 1 ต่อ 0.5 แล้วค่อยเทราดทำความสะอาดลงบนพื้นผิว สุขภัณฑ์ หรืออุปกรณ์ต่าง ๆปล่อยให้น้ำยาล้างห้องน้ำกัดกร่อน ทำความสะอาด ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที
แล้วค่อยทำความสะอาดด้วยการขัดถูด้วยแปรง และล้างออกด้วยน้ำสะอาดหรืออาจจะราดลงบนพื้นผิวโดยตรง โดยไม่ต้องผสมน้ำก็ได้ สำหรับการเลือกใช้น้ำยาล้างห้องน้ำต้องผู้ใช้ควรเลือกให้ตรงประเภท

ถ้าห้องน้ำของคุณล้างทำความสะอาดทุกวันอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องใช้ชนิดเป็นกรด แต่ใช้ชนิดที่เป็นแชมพูแต่ถ้าห้องน้ำของคุณสกปรกมากและฝังแน่น ก็ควรลงน้ำยาชนิดที่เป็นกรดแต่ควรใส่อุปกรณ์ ป้องกัน เช่น ถุงมือยาง  รองเท้ายาง และผ้าปิดจมูกด้วยทุกครั้งที่ใช้งาน

ทั้งนี้ หากจะปรึกษาการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับงานช่างต่างๆ ก็สามารถติดต่อของรับคำแนะนำได้ที่เรามีบริการทำความสะอาดเพื่อการรักษาสิ่งแวดล้อมในสถานที่ทำงานให้สะอาด สะดวก และถูกสุขลักษณะ มีการพัฒนารูปแบบการทำความสะอาดให้เหมาะสมกับธุรกิจที่หลาก หลายของลูกค้าในการทำความสะอาดห้องน้ำ ทางเราคัดสรรตั้งแต่การเลือกน้ำยาล้างห้องน้ำให้เหมาะกับพื้นผิวเหล่านั้น ขัดล้างและตรวจเช็คอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ

ทั้งนี้ เรายังให้ความสำคัญกับการฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้ ความ สามารถ และมีทัศนคติที่ดีในการทำงานเพื่อที่จะส่งมอบบริการต่าง ๆให้กับ ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด


12
บริการทำความสะอาด: ปราบเชื้อราในห้องน้ำง่ายๆ ด้วยของใช้ในบ้าน

อีกหนึ่งปัญหาเกี่ยวกับบ้านที่ใครหลายคนต่างกังวลใจก็ คือ เชื้อราดำบริเวณพื้นห้องน้ำซึ่งสาเหตุหลักเกิดความอับชื้น เนื่องจากเป็นสถานที่ที่มีความเปียกชื้นอยู่ตลอดเวลา ยิ่งมีคราบสบู่ รวมถึงคราบยาสระผม ทำให้เป็นแหล่งที่เพาะเชื้อราให้มีการเจริญเติบโต ซึ่งเชื่อว่าเป็นปัญหาของแม่บ้านหลายๆคนที่ปวดหัวกับคราบสกปรกภายในห้องน้ำ เพราะบริเวณห้องน้ำเป็นจุดที่เราต้องใช้งานทุกวัน ดังนั้น หากเกิดคราบสกปรกหรือเชื้อราภายในห้องน้ำ จึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร แต่ทางที่ดีที่สุด คือ เราจะต้องทำความสะอาดให้สม่ำเสมอ เพราะคราบสบู่หรือคราบต่างๆอาจจะทำให้พื้นลื่นจนอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ นอกจากนี้ หากปล่อยไว้นานเกินไป นอกจากทำให้ร่องยาแนวเสื่อมสภาพเกิดการหลุดล่อนแล้ว ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพของคนในบ้านอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการสูดดม หรือสัมผัสผ่านผิวหนัง มีส่วนทำให้เกิดการระคายเคือง และหายใจลำบาก นอกจากนี้ยังส่งผลให้มีอาการอื่นๆตามมาได้ เพราะขึ้นชื่อว่าเชื้อรามักส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัยด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นบริเวณห้องน้ำ หรือส่วนอื่นๆ หากไม่กำจัดเชื้อราให้หมดไป อาจจะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมาได้

ดังนั้น วันนี้เราจะมาพูดถึงวิธีการปราบเชื้อราในห้องน้ำด้วยการใช้อุปกรณ์ที่เรามีอยู่ในบ้าน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การทำความสะอาดห้องน้ำ เราจะต้องระมัดระวังให้มาก อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุหรืออาจจะได้รับอันตรายจากสารเคมีได้นั่นเอง ซึ่งสิ่งที่เราจะนำมาใช้กำจัดเจ้าตัวเชื้อรานั้น ก็มีด้วยกันหลายอย่าง ซึ่งต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง และแน่นอนว่า จะสามารถกำจัดเชื้อราได้อย่างหมดจดเลยทีเดียว

ต้องบอกก่อนว่า ในการกำจัดเชื้อราในห้องน้ำนั้น มีด้วยกันหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการใช้เบคกิ้งโซดา น้ำยาซักผ้าขาว ผงซักฟอก หรือน้ำส้มสายชู ซึ่งคราบราดำในห้องน้ำเกิดจากความชื้น ส่วนใหญ่มักจะเป็นบริเวณโซนเปียก โดยเฉพาะในห้องน้ำที่ไม่มีการระบายอากาศ หรืออากาศไม่ถ่ายเทไม่ดี แสงส่องเข้ามาไม่ถึง สำหรับเคล็ดลับแรกที่เราจะแนะนำคือ การใช้เบคกิ้งโซดาโรยให้ทั่วห้องน้ำตามรอยต่อของกระเบื้อง และทิ้งไว้ 5 นาที หลังจากนั้นใช้น้ำส้มสายชูกลั่น ราดลงไปตามบริเวณที่มีคราบราดำ แล้วขัดเบาๆ ด้วยแปรงสีฟันเก่าๆ คราบจะค่อย ๆ หลุดไป

ต่อมาคือการใช้ผลซักฟอกในการขจัดเชื้อราที่มีอยู่ โดยขัดด้วยการใช้ผงซักฟอกและน้ำ จากนั้นก็ปล่อยให้พื้นผิวแห้งสนิท หรืออาจจะใช้น้ำยาฟอกขาวประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ผสมน้ำ 90 เปอร์เซ็นต์ในการกำจัดเชื้อรา การใช้น้ำยาฟอกขาวในความเข้มข้นที่มากกว่านี้ก็ไม่ได้ให้ผลดีแตกต่างกัน เมื่อผสมน้ำยาแล้วให้นำใส่ขวดสเปรย์ ฉีดบริเวณที่มีเชื้อราและทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีก่อนล้างออกและปล่อยให้แห้ง เพียงเท่านี้คราบราดำต่างๆก็จะหลุดออกไป นอกจากนี้ เรายังสามารถใช้น้ำมะนาวกำจัดคราบออกได้เช่นกัน

เหมาะกับการทำความสะอาดยาแนวกระเบื้องในพื้นที่กว้าง โดยมีส่วนผสมคือ น้ำเปล่า 7 ถ้วยตวง เบคกิ้งโซดา ½ ถ้วยตวง น้ำส้มสายชู ¼ ถ้วยตวง น้ำมะนาว ⅓ ถ้วยตวง ผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้วคนให้กลายเป็นเนื้อเดียว ก่อนใช้แปรงสีฟันเก่าหรือแปรงขัดห้องน้ำ จุ่มลงไปในน้ำยาแล้วนำมาขจัดคราบบนผนังและตามร่องกระเบื้อง หลังจากขัดเสร็จแล้ว ให้ทิ้งไว้สักพักก่อนที่จะนำผ้าสะอาดมาเช็ดออกไป และทำความสะอาดด้วยการถูพื้นอีกรอบก็สามารถคืนความสะอาดให้กับห้องน้ำได้แล้ว หรือถ้าหากคราบดังกล่าวติดฝังแน่นมาเป็นเวลานาน ก็แนะนำให้ใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์

ซึ่งเป็นวิธีกำจัดคราบที่เหมาะกับคราบดำบนกระเบื้องที่สะสมมาเป็นระยะเวลานาน ด้วยการใช้ส่วนผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ½ ถ้วยตวง น้ำยาล้างจาน 1 ช้อนชา นำไปเทตามร่องยาแนวที่สกปรก ทิ้งไว้ 5 – 10 นาที จึงใช้ฟองน้ำขัดและเช็ดออก ตามด้วยล้างน้ำเปล่าให้สะอาด ถ้าหากไม่อยากให้คราบบนกระเบื้องกลับมารบกวนอีก ให้ใช้น้ำเปล่าผสมกับน้ำส้มสายชู ในอัตราส่วนที่เท่า ๆ กัน แล้วนำไปเทหรือฉีดตามบริเวณผนังและร่องยาแนวหลังจากทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ทำอย่างน้อย 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์ รับรองว่าขจัดคราบบนผนังและบอกลาคราบดำบนกระเบื้องที่จะกลับมารบกวนอย่างแน่นอน

เราจึงเน้นย้ำมาตลอดว่า ในเรื่องของความสะอาดภายในบ้านเป็นสิ่งที่สำคัญและดีต่อสุขภาพของคนในบ้าน โดยทางเรามีบริการรักษาสิ่งแวดล้อมในสถานที่ทำงานให้สะอาด สะดวก และถูกสุขลักษณะ มีการพัฒนารูปแบบการทำความสะอาดให้เหมาะสมกับธุรกิจที่หลากหลายของลูกค้า ตรงเป้าหมาย เพราะเราให้ความสำคัญกับการฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้ ความ สามารถ และมีทัศนคติที่ดีในการทำงานเพื่อที่จะส่งมอบบริการต่าง ๆให้กับ ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

13
Doctor At Home: หนองใน (Gonorrhea)

หนองใน (โกโนเรีย ก็เรียก) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (กามโรค) ที่พบได้มากเป็นอันดับแรก ๆ ของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์*

*ในที่นี้มักหมายถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 5 ชนิด ซึ่งพบเรียงลำดับจากมากไปน้อย ดังนี้ (1) หนองใน (2) ซิฟิลิส (3) หนองในเทียม (4) แผลริมอ่อน (5) ฝีมะม่วง


สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อหนองใน (GC) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่มีชื่อว่า โกโนค็อกคัส (gonococcus/Neisseria gonorrheae) ติดต่อโดยทางเพศสัมพันธ์

ระยะฟักตัว 2-10 วัน (โดยทั่วไปภายใน 5 วัน)

อาการ

ในผู้ชาย หลังจากได้รับเชื้อ (หลังมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อ) ประมาณ 2-10 วัน จะมีอาการแสบในลำกล้องเวลาถ่ายปัสสาวะ หรือถ่ายปัสสาวะขัดและมีหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะ ในระยะแรกอาจไหลซึมเป็นมูกใส ๆ เล็กน้อย ภายใน 12 ชั่วโมงต่อมาจะกลายเป็นหนอง (สีเหลือง) ข้น และออกมาคล้ายเส้นก๋วยเตี๋ยว

ประมาณร้อยละ 10 ของผู้ชายที่ติดเชื้อหนองใน อาจไม่มีอาการแสดงอะไรเลยก็ได้ แต่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้

ในผู้หญิง ระยะแรกมักไม่มีอาการ ต่อมาจะมีอาการตกขาวเป็นหนองสีเหลือง มีกินเหม็น ไม่คัน มีอาการขัดเบาและแสบร้อนเวลาปัสสาวะ ปัสสาวะขุ่น ถ้ามีอาการอักเสบของปีกมดลูกจะมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดและกดเจ็บตรงท้องน้อย และปีกมดลูกอักเสบ

ผู้หญิงที่ติดเชื้อหนองในประมาณครึ่งหนึ่ง อาจไม่มีอาการแสดงอะไรเลยก็ได้ แต่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้

ทั้งสองเพศ นอกจากอาการดังกล่าวแล้ว อาจมีต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบ (ไข่ดัน) บวมและเจ็บด้วย


ภาวะแทรกซ้อน

ในผู้ชาย ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจมีหนองไหลอยู่ 3-4 เดือน และเชื้อหนองในอาจลุกลามไปยังบริเวณใกล้เคียง ทำให้ท่อปัสสาวะอักเสบ ซึ่งอาจทำให้ท่อปัสสาวะตีบตันได้

อาจทำให้ต่อมลูกหมากอักเสบ หรือเป็นฝีที่ผนังของท่อปัสสาวะ

ในบางรายอาจทำให้อัณฑะอักเสบ (อัณฑะปวดบวมและเป็นหนอง) ซึ่งอาจทำให้กลายเป็นหมันได้
 
ในผู้หญิง เชื้ออาจลุกลามทำให้ต่อมบาร์โทลิน (Bartholin’s gland) ที่แคมใหญ่เกิดการอักเสบ หรือเป็นฝีบวมโต หรืออาจทำให้เยื่อบุมดลูกอักเสบ หรือปีกมดลูกอักเสบ ซึ่งถ้าอักเสบรุนแรง เมื่อหายแล้วอาจทำให้ท่อรังไข่ตีบตัน กลายเป็นหมัน หรือทำให้ตั้งครรภ์นอกมดลูกได้

ทั้งสองเพศ เชื้ออาจเข้ากระแสเลือดไปที่ข้อ (หนองในเข้าข้อ) ทำให้เป็นโรคข้ออักเสบชนิดติดเชื้อเฉียบพลัน ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อยมาก ข้อที่พบได้บ่อย คือ ข้อเข่า ข้อเท้า ข้อมือ

นอกจากนี้ยังอาจมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่พบได้น้อยมาก เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เยื่อบุหัวใจอักเสบ (endocarditis) ซึ่งอาจทำให้ลิ้นหัวใจรั่ว และหัวใจวาย


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งมีสิ่งตรวจพบ ดังนี้

มีหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะ หรือมีอาการตกขาวเป็นหนองสีเหลือง มีกลิ่นเหม็น อาจตรวจพบต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบ (ไข่ดัน) บวมและเจ็บ

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการนำหนองไปย้อมสี และส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ หรือนำไปเพาะเชื้อ


การรักษาโดยแพทย์

นอกจากแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยแล้ว แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะขนานใดขนานหนึ่ง เช่น

    เซฟิไซม์ (cefixime) 400 มก. กินครั้งเดียว ร่วมกับอะซิโทรไมซิน (azithromycin) 1 กรัม กินครั้งเดียว
    เซฟทริอะโซน (ceftriaxone) 250 มก. ฉีดเข้ากล้ามครั้งเดียว ร่วมกับอะซิโทรไมซิน 1 กรัม กินครั้งเดียว
    สเปกติโนไมซิน (spectinomycin) 2 กรัม ฉีดเข้ากล้ามเนื้อครั้งเดียว


2. ผู้หญิงที่มีอาการหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะ ร่วมกับมีไข้สูง ปวดท้องน้อย ขัดเบา ตกขาว อาจเป็นปีกมดลูกอักเสบเฉียบพลัน อาจจำเป็นต้องรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล

ผลการรักษา หลังให้ยาปฏิชีวนะ มักจะหายเป็นปกติได้ใน 1-2 สัปดาห์


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีหนองไหลจากท่อปัสสาวะ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นหนองใน ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ห้ามหลับนอนกับคู่สมรส เป็นเวลา 2-4 สัปดาห์ และงดดื่มเหล้า 1 เดือน เพราะเหล้าอาจทำให้หนองไหลมากขึ้น


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา หรือมีอาการกำเริบ
    มีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา*

*เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม หายใจมีเสียงดังวี้ด ๆ หายใจลำบาก เวียนศีรษะ บ้านหมุน หน้ามืดเป็นลม ตามัว หูอื้อ หูตึง ปวดท้อง ท้องผูก ท้องเดิน ถ่ายอุจจาระดำ คลื่นไส้ อาเจียน ดีซ่าน (ตาเหลือง) จุดแดงจ้ำเขียว บวม ไอเรื้อรัง เป็นต้น


การป้องกัน

หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ และถ้าจะหลับนอนกับคนที่สงสัยว่าเป็นหนองใน ควรใช้ถุงยางอนามัย ซึ่งจะช่วยป้องกันได้เกือบร้อยละ 100 (ส่วนโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น ๆ อาจได้ผลไม่เต็มที่ และมีโอกาสติดเชื้อได้บ้าง)

การดื่มน้ำก่อนร่วมเพศ และถ่ายปัสสาวะทันทีหลังร่วมเพศ หรือการฟอกล้างสบู่ทันทีหลังมีเพศสัมพันธ์ อาจช่วยลดการติดเชื้อลงได้บ้าง แต่ไม่ใช่จะได้ผลทุกราย

ส่วนการกิน "ยาล้างลำกล้อง" ซึ่งเป็นยาระงับเชื้อ (antiseptic) ไม่ใช่ทำลายเชื้อ ไม่ได้ผลในการป้องกัน ยานี้กินแล้วทำให้ปัสสาวะเป็นสีเเปลก ๆ เช่น สีแดง สีเขียว

การกินยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันโรคภายหลังร่วมเพศอาจได้ผลบ้าง แต่ต้องใช้ยาชนิดและขนาดเดียวกับที่ใช้รักษา ซึ่งดูแล้วไม่คุ้ม สู้รอให้มีอาการแสดงค่อยรักษาไม่ได้ นอกจากนี้ก็ยังไม่อาจป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่นได้


ข้อแนะนำ

1. ในบ้านเราพบเชื้อหนองในที่ดื้อต่อกลุ่มยาเพนิซิลลิน เรียกว่าเชื้อ PPNG ซึ่งย่อมาจาก penicillinase producing Neisseria gonorrheae ชาวบ้านเรียกว่าซูเปอร์โกโนเรีย ซึ่งจะรักษาด้วยยาฉีดโปรเคนเพนิซิลลินที่เคยใช้ในอดีตไม่ได้ผล ต้องเปลี่ยนไปใช้ยาชนิดอื่นแทน นอกจากนี้ยังพบว่าเชื้อหนองในยังดื้อต่อยากลุ่มฟลูออโรคลิโนโลน และยาชนิดอื่นที่เคยใช้ในสมัยก่อน

2. ควรแนะนำให้ผู้สัมผัสโรค เช่น หญิงที่มีสามีเป็นหนองใน หรือผู้ที่หลับนอนกับคนที่เป็นหนองในไปตรวจรักษาโรคนี้พร้อม ๆ กันไปด้วย เพื่อป้องกันมิให้เกิดการแพร่เชื้อแก่กันอีก

3. ผู้ที่เป็นหนองใน ควรเจาะเลือดตรวจวีดีอาร์แอล (venereal disease research laboratory/VDRL) เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการติดเชื้อซิฟิลิสร่วมด้วย ถ้าพบวีดีอาร์แอลเป็นผลบวกหรือเรียกว่า เลือดบวก ก็แสดงว่าเป็นซิฟิลิส ควรตรวจครั้งแรกเมื่อก่อนให้การรักษา และอีก 3 เดือนต่อมาตรวจซ้ำอีกครั้ง

นอกจากนี้ ควรตรวจหาเชื้อเอชไอวีพร้อมกันไปด้วย

4. หญิงตั้งครรภ์ถ้าเป็นหนองใน ควรรีบรักษาให้หายขาด มิฉะนั้นลูกอาจติดเชื้อระหว่างคลอด ทำให้ตาอักเสบรุนแรงและอาจทำให้ตาบอดได้ (ดู "ตาอักเสบจากเชื้อหนองใน" เพิ่มเติม)

5. หนองในติดต่อโดยการร่วมเพศเป็นสำคัญ ถ้ามีการร่วมเพศทางปากหรือทวารหนัก ก็อาจทำให้เป็นหนองในลำคอหรือทวารหนักได้ ส่วนการติดต่อโดยทางอื่นพบได้น้อยมาก ที่อาจพบได้ คือ การใช้ผ้าเช็ดหน้าที่เปื้อนถูกหนองในสด ๆ เช็ดตา เชื้ออาจเข้าตาทำให้ตาอักเสบรุนแรงได้ จึงควรหลีกเลี่ยงจากการใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกับผู้ที่เป็นโรค

เชื้อหนองในไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในสระว่ายน้ำหรือโถส้วม ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสที่จะติดเชื้อจากสระว่ายน้ำหรือโถส้วม

6. ความเชื่อเรื่องของแสลงสำหรับโรคนี้ เช่น สาเก หน่อไม้ หูฉลาม อาหารทะเล เป็นต้น ทางวงการแพทย์ยังไม่มีการยืนยันแน่ชัด

แต่ที่แน่นอน คือ ต้องงดแอลกอฮอล์เป็นเวลา 1 เดือน เพราะอาจทำให้หนองไหลมากขึ้น ส่วนอาหารอื่น ถ้ากินแล้วทำให้หนองไหลมากขึ้นหรือกำเริบใหม่ก็ควรจะงด

7. หนองในและหนองในเทียม บางครั้งอาจแยกอาการกันไม่ออก ถ้าใช้ยารักษาหนองใน (โดยไม่ได้ตรวจเชื้อก่อน) อย่างเต็มที่แล้วไม่ได้ผล อาจเป็นเพราะเชื้อดื้อยา หรืออาจเป็นหนองในเทียมก็ได้

14
โปรโมทสินค้าฟรี ซื้อ ขาย เช่า บริการ / Doctor At Home: หูด (Warts)
« เมื่อ: วันที่ 21 ตุลาคม 2025, 20:36:15 น. »
Doctor At Home: หูด (Warts)

หูด เป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้าย (benign) ของผิวหนัง เป็นโรคที่พบได้บ่อยมากในเด็กวัยเรียน ในผู้ใหญ่ก็เป็นได้ แต่จะพบได้น้อยในคนอายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป

หูดมีหลายชนิด อาจมีขนาดแตกต่างกันไป ขึ้นกับตำแหน่งที่เป็น อาจขึ้นเดี่ยว ๆ หรือหลายอันก็ได้ มักขึ้นที่มือ เท้า ข้อศอก ข้อเข่า ใบหน้า ฝ่ามือฝ่าเท้า อาจขึ้นตามผิวหนังส่วนอื่น ๆ รวมทั้งที่อวัยวะเพศ

ส่วนมากจะยุบหายได้เองตามธรรมชาติ (แม้จะไม่ได้รับการรักษา) ภายหลังที่เป็นอยู่หลายเดือน บางรายอาจเป็นอยู่เป็นปี ๆ กว่าจะยุบหาย เมื่อหายแล้วอาจกลับเป็นใหม่ได้อีก

สำหรับหูดที่อวัยวะเพศขอแยกกล่าวไว้ใน "โรคหงอนไก่"


สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า เอชพีวี (HPV ซึ่งย่อมาจาก human papilloma virus) ซึ่งมีมากกว่า 70 ชนิด เมื่อเชื้อไวรัสแทรกซึมเข้าไปในเซลล์ผิวหนังก็จะเกิดการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นหูดงอกออกจากผิวหนังส่วนที่ปกติ

หูดสามารถติดต่อโดยการสัมผัสถูกคนที่เป็นหูดโดยตรง ผิวหนังที่มีบาดแผลหรือรอยถลอกจะติดเชื้อและกลายเป็นหูดได้ง่ายกว่าผิวที่ปกติ ระยะฟักตัว 2-18 เดือน


อาการ

หูดธรรมดา (common warts) จะมีลักษณะเป็นตุ่มกลมแข็ง ผิวหยาบ ออกเป็นสีเทา ๆ เหลือง ๆ หรือน้ำตาล ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2-10 มม. มักจะขึ้นตรงบริเวณที่ถูกเสียดสีง่าย (เช่น นิ้วมือ นิ้วเท้า ข้อศอก ข้อเข่า ใบหน้า หนังศีรษะ เป็นต้น) และอาจแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย

หูดที่เป็นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า จะมีลักษณะเป็นไตแข็ง ๆ หยาบ ๆ แต่จะแบนราบเท่าระดับผิวหนังที่ปกติ เพราะมีแรงกดขณะเดินหรือใช้งาน ลักษณะคล้าย ๆ ตาปลา แต่จะแยกกันได้ตรงที่ถ้าใช้ใบมีดฝานหูดบริเวณผิวบน ๆ ของหูดจะเห็นมีจุดดำ ซึ่งเป็นจุดเลือดออกเก่า ๆ ที่แข็งตัวแล้ว

หูดที่เป็นติ่ง (filiform warts) จะมีลักษณะเป็นติ่งเนื้อแข็งยาวคล้ายนิ้วมือเล็ก ๆ ยื่นจากผิวหนัง มักขึ้นที่หนังตา ใบหน้า ลำคอ หรือริมฝีปาก


ภาวะแทรกซ้อน

หูดเป็นโรคที่ไม่มีอันตรายแต่อย่างใด นอกจากทำให้แลดูน่าเกลียดน่ารำคาญ หรืออาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเป็นปมด้อย ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง   

บางรายอาจมีอาการปวดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นหูดที่ฝ่าเท้า เวลาเดินลงน้ำหนักแรง ๆ อาจทำให้ปวดเดินไม่ถนัดได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะทำการวินิจฉัยจากการตรวจพบรอยโรค และการนำตัวอย่างเนื้อเยื่อไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ


การรักษาโดยแพทย์

ในรายที่มีอาการเล็กน้อย จะให้สังเกตดูอาการ บางรายอาจหายเองได้ภายใน 2 ปี แต่ก็อาจเกิดขึ้นใหม่ได้อีก

  ในรายที่มีอาการมาก รู้สึกรำคาญน่าเกลียด หรือเจ็บปวด แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. หูดที่ฝ่าเท้า ใช้ปลาสเตอร์ที่มีกรดซาลิไซลิกชนิด 40% ปิด โดยฝานหูดจนมีเลือดซิบ แล้วใช้ปลาสเตอร์ดังกล่าวปิด พอครบ 1 สัปดาห์ก็ทำการฝานหูดซ้ำอีกครั้ง แล้วปิดปลาสเตอร์ต่อไป ทำเช่นนี้ทุกสัปดาห์จนกว่าจะหาย หรืออาจใช้ยากัดตาปลาหรือหูดซึ่งมีกรดซาลิไซลิกผสมทาที่ตัวหูดทุกวัน ยาจะค่อย ๆ กัดเนื้อหูดให้หลุดออก ซึ่งอาจต้องใช้เวลาประมาณ 3 เดือน

2. หูดที่เป็นติ่ง ให้พ่นด้วยยาชา แล้วใช้กรรไกรตัด หรือใช้ไฟฟ้าจี้และขูดออก (electrodessication)

3. หูดที่เป็นตุ่มหรือไตขนาดใหญ่ แพทย์จะทำการผ่าตัดและขูดออก (อาจใช้ไฟฟ้าจี้ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้) ซึ่งอาจใช้เวลา 4 สัปดาห์กว่าแผลจะหายดี หรือไม่ก็อาจรักษาโดยใช้กรดซาลิไซลิกชนิด 10% และกรดแล็กติกชนิด 10% ในคอลลอยเดียนเบสทา หรือทาด้วยกรดไตรคลอโรอะซิติก (trichloroacetic acid) ชนิด 30-50%

หรือใช้ไนโตรเจนเหลว (liquid nitrogen) หรือคาร์บอนไดออกไซด์แข็ง (solid CO2) ในการรักษาหูด โดยจี้ทุก ๆ 2 สัปดาห์ เป็นเวลา 3 เดือน หรือใช้แสงเลเซอร์หรือเครื่องจี้ไฟฟ้าในการรักษา

ในรายที่ดื้อต่อการรักษาด้วยวิธีดังกล่าว แพทย์อาจให้การรักษาโดยให้ผู้ป่วยกินไซเมทิดีนในขนาดสูง (30-40 มก./กก./วัน) ซึ่งมีฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกัน โดยให้นาน 6-8 สัปดาห์ จะช่วยให้หูดยุบหายหมดได้ประมาณร้อยละ 60-70


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น ผิวหนังมีตุ่มแข็งหรือมีติ่งเนื้อแข็งยื่นจากผิวหนัง หรือฝ่ามือฝ่าเท้ามีไตแข็ง ๆ หยาบ ๆ แต่แบนราบ ควรปรึกษาแพทย์

          เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคหูด ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    หลังการรักษาแล้วหากมีอาการปวด แสบ คัน พุเป็นตุ่มน้ำ หรือบวมที่บริเวณรอยโรคไม่ทุเลา ใน 1-2 สัปดาห์
    มีหูดเกิดขึ้นใหม่

การป้องกัน

    หลีกเลี่ยงการสัมผัสถูกเนื้อหูดของผู้อื่น
    หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของเครื่องใช้ (เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว รองเท้า ถุงเท้า) ร่วมกับคนที่เป็นหูด
    ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อหูดไปบริเวณอื่นของร่างกาย โดยหลีกเลี่ยงการสัมผัส หรือแกะเกาหูดของตัวเอง และเมื่อสัมผัสถูกหูดควรล้างมือด้วยน้ำกับสบู่เมื่อสัมผัสทันที
    หมั่นล้างเท้าให้สะอาดและเช็ดให้แห้ง และเปลี่ยนถุงเท้าที่ใส่ทุกวันเพื่อป้องกันหูดที่ฝ่าเท้า
    ระมัดระวังอย่าให้เกิดบาดแผลที่ผิวหนัง เช่น ระมัดระวังการโกนหนวด หลีกเลี่ยงการกัดแทะเล็บเป็นต้น เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อหูดเข้าทางบาดแผล
    หมั่นรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงด้วยการออกกำลังกาย กินอาหารครบ 5 หมู่ที่สมสัดส่วน  และนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง

ข้อแนะนำ

หูดเกิดจากเชื้อไวรัสเอชพีวี ซึ่งสามารถติดต่อได้ง่ายโดยการสัมผัสและทางเพศสัมพันธ์ ไม่มีการรักษาที่จำเพาะ (ไม่มียาที่ทำลายเชื้อไวรัสกลุ่มนี้) ส่วนใหญ่มักเป็นไม่รุนแรง และหายได้เองภายใน 2 ปี แต่อาจเกิดขึ้นได้ใหม่ การรักษาสุขภาพให้มีภูมิคุ้มกันโรคที่แข็งแรงมีส่วนป้องกันและรักษาโรคนี้ได้ การรักษามุ่งที่ทำลายเนื้อหูดให้หมดไปด้วยวิธีต่าง ๆ ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้ตามสภาพของโรคที่เป็น และสภาพร่างกายของผู้ป่วย

15
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


หน้า: [1] 2 3 ... 75


























































อยากขายของดี
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
ขายสินค้าไม่สต๊อกสินค้า
เริ่มขายของออนไลน์
รับทำ seo ด่วน
smf โพสฟรี
smf ขายของออนไลน์อะไรดี
smf โพสฟรี
แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์ โพสฟรี
โพสฟรีแคปชั่นโพสขายของยังไงให้ปัง
smf แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์
ขายของให้ออร์เดอร์เข้ารัว ๆ
smf โพสต์เรียกลูกค้า
โพสต์เรียกลูกค้าโพสฟรี
smf ขายของออนไลน์ให้ปัง
smf โพสต์ขายของ
smf เขียนโพสขายของโดนๆ
แคปชั่นเปิดร้าน โพสฟรี
smf วิธีโพสขายของให้น่าสนใจ
วิธีเพิ่มยอดขาย โพสฟรี
smf เทคนิคเพิ่มยอดขาย
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
smf เริ่มต้นขายของออนไลน์
ไอ เดีย การขายของออนไลน์
เว็บขายของออนไลน์
เริ่ม ขายของออนไลน์ โพสฟรี
อยากขายของออนไลน์ smf
โพสขายของยังไงให้มีคนซื้อ
smf โพสขายของแบบไหนดี
smf ขายของออนไลน์ที่ไหนดี
เทคนิคการโพสต์ขายของ
smf โพสต์ขายของให้ยอดขายปัง
โพสต์ขายของให้ยอดขายปังโพสฟรี
smf ขายของในกลุ่มซื้อขายสินค้า
ไม่รู้จะขายอะไรดี

เพิ่มยอดขายให้เข้าเป้า
โปรโมทผลักดันยอดขาย
โปรโมทแผนการเพิ่มยอดขายให้ได้ผล
โปรโมทวิธีการวางแผนการเพิ่มยอดขาย
มีลูกค้าเพิ่ม - YouTube
ผลักดันยอดขายโปรโมทฟรี
ประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศเพิ่มยอดขาย
ฝากร้านฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศฟรีใหม่ ๆ เพิ่มยอดขาย
เว็บประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
Post ฟรี
ประกาศขายของฟรี
ประกาศฟรี
โพส SEO
ลงโฆษณาฟรี
โปรโมทเพจร้านค้า
โปรโมทกระตุ้นยอดขาย
โปรโมทฟรีออนไลน์กระตุ้นยอดขาย
โพสกระตุ้นยอดขาย
วิธีกระตุ้นยอดขาย เซลล์
วิธีแก้ปัญหายอดขายตก
เริ่มต้นขายของ
แหล่งรับของมาขายออนไลน์
ขายของออนไลน์อะไรดี
อยากขายของออนไลน์
ยอดขายไม่ดีควรทำอย่างไร
ยอดขายตกเกิดจากอะไร
ทำไมต้องเพิ่มยอดขาย
ขายฟรี
ยอดการขาย คืออะไร
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
โพสฟรีการกระตุ้นยอดขาย
เว็บบอร์ดฟรี
โปรโมทฟรี

กลยุทธ์การหาลูกค้าใหม่
ทํายังไงให้ขายของดี ออนไลน์
วิธีการหาลูกค้าของ sale
ทำ SEO ติด Google
ต้องการขาย
ปล่อยเช่า บ้าน คอนโด ที่ดิน
ขายบ้าน คอนโด ที่ดิน
ประกาศฟรี ไม่มี หมดอายุ
เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ
ฝากร้านฟรี โพ ส ฟรี
ลงประกาศฟรี กรุงเทพ
ลงประกาศฟรี ทั่วไทย
ลงประกาศโฆษณาฟรี
ลงประกาศฟรี 2023
รวมเว็บลงประกาศฟรี
วิธีหาลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
การหาลูกค้าใหม่ รักษาลูกค้าเก่า
ช่องทางการเข้าถึงลูกค้า
เพิ่มฐานลูกค้าใหม่
รวมเว็บลงประกาศฟรี ล่าสุด
รวมเว็บประกาศฟรี
โพสต์ขายของฟรี
ลงโฆษณาสินค้าฟรี
โฆษณาฟรี
ประกาศฟรี
เว็บฟรีไม่จำกัด
ลงประกาศขาย
เว็บฟรียอดนิยม
โพสโฆษณา
ประกาศขายของ
ประกาศหางาน
บริการ แนะนำเว็บ
ลงประกาศ
รวมเว็บประกาศฟรี
รวมเว็บซื้อขาย ใช้งานง่าย
ลงประกาศฟรี ทุกจังหวัด

โพสขายสินค้าตรงกลุ่มเป้าหมาย
โฆษณาเลื่อนประกาศได้
ขายของออนไลน์
แนะนำ 6 วิธีขายของออนไลน์
อยากขายของออนไลน์
เริ่มต้นขายของออนไลน์
ขายของออนไลน์ เริ่มยังไง
ชี้ช่องขายของออนไลน์
การขายของออนไลน์
สร้างเว็บฟรีประกาศ
เว็บบอร์ด โพสต์ฟรี
ลงประกาศ ซื้อ-ขาย ฟรี
ชุมชนคนไอทีขายสินค้า
ลงประกาศฟรีใหม่ๆ 2023
โปรโมทธุรกิจฟรี
ทําไงให้ลูกค้าเข้าร้านเยอะ ๆ
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
เคล็ดลับขายของดี
ค้าขายไม่ดีทำอย่างไรดี
งานโพสโปรโมทงาน
ทํายังไงให้ขายของดี ออนไลน์
รวม SMFขายสินค้า
ประกาศฟรีออนไลน์
ลงประกาศ สินค้า
ลงประกาศฟรี เว็บบอร์ด
เว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
ฟรี เว็บบอร์ด แรงๆ
โปรโมทสินค้าฟรี
แจกฟรี รายชื่อเว็บลงประกาศฟรี
โปรโมท Social
โปรโมท youtube
แจกฟรี รายชื่อเว็บ
แจกฟรีโพสเว็บบอร์ดsmf
เว็บบอร์ดsmfโพสฟรี
รายชื่อเว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
หากลยุทธ์เพิ่มยอดขาย