เวบบอร์ดโพสฟรี , ลงประกาศฟรี Post ฟรี , ลงประกาศฟรีไม่ต้องสมัคร , เว็บประกาศฟรีติดอันดับ

หมวดหมู่ทั่วไป => โปรโมทสินค้าฟรี ซื้อ ขาย เช่า บริการ => ข้อความที่เริ่มโดย: siritidaphon ที่ วันที่ 25 กรกฎาคม 2025, 22:20:56 น.

หัวข้อ: ไวรัสตับอักเสบ ต้นเหตุของมะเร็งตับ
เริ่มหัวข้อโดย: siritidaphon ที่ วันที่ 25 กรกฎาคม 2025, 22:20:56 น.
ไวรัสตับอักเสบ ต้นเหตุของมะเร็งตับ (https://doctorathome.com/disease-conditions/177)

ไวรัสตับอักเสบเป็นสาเหตุสำคัญอันดับต้นๆ ของโรคมะเร็งตับ โดยเฉพาะไวรัสตับอักเสบบีและซี ซึ่งหากปล่อยให้มีการติดเชื้อเรื้อรัง จะนำไปสู่ภาวะตับแข็ง และมะเร็งตับในที่สุด

ไวรัสตับอักเสบ คืออะไร?

ไวรัสตับอักเสบคือกลุ่มของเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบของตับ มีหลายชนิด ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอ (A), บี (B), ซี (C), ดี (D) และ อี (E) แต่ละชนิดมีวิธีการติดต่อและผลต่อตับที่แตกต่างกัน

ไวรัสตับอักเสบ เอ (Hepatitis A virus: HAV) และ ไวรัสตับอักเสบ อี (Hepatitis E virus: HEV)

การติดต่อ: ผ่านทางอาหารและน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อโรค (อุจจาระสู่ปาก)

ผลต่อตับ: มักทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลันเท่านั้น และส่วนใหญ่หายเป็นปกติได้เอง ไม่ก่อให้เกิดการติดเชื้อเรื้อรัง ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ

อาการ: ไข้ ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระสีซีด

ไวรัสตับอักเสบ บี (Hepatitis B virus: HBV) และ ไวรัสตับอักเสบ ซี (Hepatitis C virus: HCV)

การติดต่อ: ผ่านทางเลือดและสารคัดหลั่งต่างๆ เช่น เพศสัมพันธ์ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การติดต่อจากแม่สู่ลูกขณะคลอด การใช้ของมีคมร่วมกัน (เช่น มีดโกน แปรงสีฟัน กรรไกรตัดเล็บ)

ผลต่อตับ: เป็นสาเหตุหลักของการเกิด ตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับ ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่อาจไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่เชื้อจะค่อยๆ ทำลายตับไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว

อาการ:

ระยะเฉียบพลัน: บางรายอาจไม่มีอาการ หรือมีอาการคล้ายไข้หวัด เช่น ไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดเมื่อยตามตัว ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม

ระยะเรื้อรัง: มักไม่มีอาการชัดเจนในระยะแรก แต่ตับจะถูกทำลายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดภาวะตับแข็ง ซึ่งอาจมีอาการอ่อนเพลีย ท้องอืด ท้องมาน บวมที่เท้า ตัวเหลือง ตาเหลือง และนำไปสู่มะเร็งตับได้ในที่สุด

ผู้ที่เป็นพาหะ: หลายคนอาจเป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี โดยที่ไม่มีอาการใดๆ แต่สามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ และยังคงมีความเสี่ยงที่จะเกิดตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับในอนาคต


ไวรัสตับอักเสบ ดี (Hepatitis D virus: HDV)

การติดต่อ: คล้ายไวรัสตับอักเสบบี แต่ไวรัสชนิดดีไม่สามารถอยู่ลำพังได้ ต้องอาศัยไวรัสตับอักเสบบีในการเพิ่มจำนวนเท่านั้น

ผลต่อตับ: หากติดเชื้อพร้อมกับไวรัสตับอักเสบบี หรือติดเชื้อไวรัสตับอักเสบดีในผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบีอยู่แล้ว จะทำให้เกิดตับอักเสบที่รุนแรงกว่าปกติ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดตับแข็งและมะเร็งตับ


ไวรัสตับอักเสบ สู่ มะเร็งตับ ได้อย่างไร?

กระบวนการที่ไวรัสตับอักเสบเรื้อรังนำไปสู่มะเร็งตับ มีดังนี้:

การอักเสบเรื้อรัง: เมื่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซีอยู่ในร่างกายเป็นเวลานาน (เกิน 6 เดือน) จะทำให้เซลล์ตับเกิดการอักเสบอย่างต่อเนื่อง

เซลล์ตับถูกทำลายและซ่อมแซมซ้ำๆ: การอักเสบเรื้อรังทำให้เซลล์ตับถูกทำลายและพยายามซ่อมแซมตัวเองซ้ำไปซ้ำมา

เกิดพังผืดและตับแข็ง: เมื่อมีการทำลายและซ่อมแซมอย่างต่อเนื่อง เนื้อเยื่อตับปกติจะถูกแทนที่ด้วยพังผืด ทำให้ตับทำงานได้ไม่เต็มที่ เกิดภาวะตับแข็ง (Cirrhosis)

เซลล์ตับที่ผิดปกติ: ในกระบวนการซ่อมแซมเซลล์ตับที่ถูกทำลายบ่อยๆ อาจเกิดความผิดพลาดในการแบ่งตัวของเซลล์ ทำให้เกิดเซลล์ตับที่ผิดปกติ ซึ่งอาจพัฒนาไปเป็นเซลล์มะเร็งได้

กลายเป็นมะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma: HCC): ผู้ป่วยตับแข็งมีโอกาสเป็นมะเร็งตับสูงมาก โดยเฉพาะผู้ที่เป็นตับแข็งจากไวรัสตับอักเสบบีหรือซี

ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับสูงกว่าคนทั่วไปถึง 100-200 เท่า ส่วนไวรัสตับอักเสบซี ก็เป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งตับเช่นกัน

อาการของมะเร็งตับ
ในระยะแรก มะเร็งตับมักไม่มีอาการ หรือมีอาการไม่จำเพาะเจาะจง ทำให้ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์เมื่อโรคดำเนินไปมากแล้ว อาการที่อาจพบได้เมื่อมะเร็งตับโตขึ้นหรือลุกลาม ได้แก่:

ปวดท้อง โดยเฉพาะบริเวณชายโครงขวา (อาจปวดร้าวไปไหล่ขวาหรือใต้สะบัก)

อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายผิดปกติ

เบื่ออาหาร น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

ท้องอืด ท้องแน่น หรือท้องมาน (ท้องบวมจากน้ำในช่องท้อง)

ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม (ภาวะดีซ่าน)

ขาบวม

คลำพบก้อนที่ท้องบริเวณชายโครงขวา

อาจมีไข้ต่ำๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ

อาเจียนเป็นเลือด (ในระยะที่ตับแข็งมาก)

การป้องกันไวรัสตับอักเสบและมะเร็งตับ
การป้องกันไวรัสตับอักเสบเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงมะเร็งตับ:


การฉีดวัคซีน:

วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี: เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งช่วยป้องกันมะเร็งตับได้โดยตรง เด็กแรกเกิดทุกคนควรได้รับวัคซีนนี้

วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ: สำหรับผู้ที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันและมีความเสี่ยง


การป้องกันการติดเชื้อ:

ไวรัสตับอักเสบเอและอี: ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ ดื่มน้ำต้มสุกหรือน้ำสะอาด อาหารต้องปรุงสุกและถูกสุขอนามัย


ไวรัสตับอักเสบบีและซี:

หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือดและสารคัดหลั่งของผู้อื่น

ไม่ใช้เข็มฉีดยาหรืออุปกรณ์ที่อาจปนเปื้อนเลือดร่วมกับผู้อื่น

มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย สวมถุงยางอนามัย

ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น มีดโกน แปรงสีฟัน กรรไกรตัดเล็บ

หากจะเจาะหู สัก หรือฝังเข็ม ควรทำในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานและสะอาด


การตรวจคัดกรอง:

ผู้ที่มีความเสี่ยง หรือผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น มีประวัติครอบครัวติดเชื้อ มีประวัติพฤติกรรมเสี่ยง หรือผู้ที่เกิดก่อนปี 2535 (ซึ่งอาจยังไม่ได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีตอนแรกเกิด) ควรเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี และตรวจภูมิคุ้มกัน เพื่อประเมินความเสี่ยงและพิจารณาการฉีดวัคซีนหรือการรักษา


การรักษาและติดตามผล (สำหรับผู้ติดเชื้อเรื้อรัง):

ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซีเรื้อรัง ควรพบแพทย์และรับการรักษาอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อควบคุมปริมาณเชื้อไวรัสและลดการอักเสบของตับ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดตับแข็งและมะเร็งตับ

ผู้ป่วยตับแข็งหรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูง ควรได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งตับเป็นประจำด้วยการตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้องส่วนบน และตรวจเลือดหาสารบ่งชี้มะเร็งตับ (AFP) ทุก 6 เดือน


ลดปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ:

งดหรือจำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

หลีกเลี่ยงอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อราอะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) เช่น ถั่วลิสง พริกแห้ง กระเทียมที่เก็บไม่ดี

ควบคุมน้ำหนักและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อป้องกันไขมันพอกตับ ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของตับแข็งและมะเร็งตับ

การตระหนักถึงภัยของไวรัสตับอักเสบ และการดูแลสุขภาพตับอย่างจริงจัง จะช่วยให้คุณห่างไกลจากโรคมะเร็งตับได้ครับ