เวบบอร์ดโพสฟรี , ลงประกาศฟรี Post ฟรี , ลงประกาศฟรีไม่ต้องสมัคร , เว็บประกาศฟรีติดอันดับ
		หมวดหมู่ทั่วไป => โปรโมทสินค้าฟรี ซื้อ  ขาย เช่า บริการ => ข้อความที่เริ่มโดย: siritidaphon ที่ วันที่ 12 มิถุนายน  2025, 21:17:35 น.
		
			
			- 
				Doctor At Home: โรคเชื้อราในช่องหู (Otomycosis) (https://doctorathome.com/) 
 
 โรคเชื้อราในช่องหู (หูอักเสบจากเชื้อรา) เป็นโรคหูชั้นนอกอักเสบชนิดหนึ่ง
 
 สาเหตุ
 
 เกิดจากเชื้อรา ได้แก่ แอสเปอร์จิลลัสไนเจอร์ (Aspergillus niger) และแคนดิดาอัลบิแคนส์ (Candida albicans) มักพบหลังเล่นน้ำ หรือใช้ไม้แคะหูร่วมกับผู้ที่เป็นโรคนี้ (เช่น แคะหูตามร้านตัดผม) และอาจพบในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคติดเชื้อในหูเรื้อรังและใช้ยาหยอดหูที่เข้ายาปฏิชีวนะหรือยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน ผู้ป่วยที่เป็นโรคเชื้อราตามผิวหนังหรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นต้น
 
 อาการ
 
 มีอาการคันในรูหูมาก อาจมีอาการปวดหูหรือหูอื้อ หรือมีของเหลวไหลออกจากหู
 
 
 ภาวะแทรกซ้อน
 
 อาจทำให้เกิดโรคหูชั้นกลางอักเสบ เยื่อแก้วหูทะลุ
 
 ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน เอดส์) การติดเชื้ออาจลุกลามเข้ากระดูกอ่อนในบริเวณหูหรือฐานกะโหลกได้
 
 
 การวินิจฉัย
 
 แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการเมื่อใช้เครื่องส่องหู มักเห็นลักษณะขุย ๆ สีขาว สีดำหรือน้ำตาล ติดอยู่บนผิวหนังในรูหู หูชั้นนอกมีการอักเสบบวมแดง
 
 บางกรณี แพทย์จะนำของเหลวในหูไปตรวจหาเชื้อต้นเหตุ
 
 
 การรักษาโดยแพทย์
 
 แพทย์จะใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดในช่องหู ใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำยาโพวิโดนไอโอดีน เช็ดในช่องหูวันละ 3-4 ครั้ง หรือใช้ยาหยอดหูที่เข้ายารักษาโรคเชื้อรา เช่น โคลไตรมาโซล (clotrimazole) หยอดหูครั้งละ 4-5 หยด วันละ 3-4 ครั้ง ถ้ามีการใช้ยาหยอดหูที่เข้ายาปฏิชีวนะหรือยาสเตียรอยด์ ให้หยุดใช้
 
 ในรายที่รักษาด้วยวิธีดังกล่าวไม่ได้ผล หรือมีการอักเสบรุนแรง แพทย์จะให้กินยาฆ่าเชื้อรา เช่น ไอทราโคนาโซล (itraconazole)
 
 ถ้าไม่ดีขึ้นใน 1 สัปดาห์ หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย แพทย์จะทำการตรวจหาสาเหตุ รวมทั้งตรวจระดับน้ำตาลในเลือด เพราะผู้ป่วยอาจเป็นเบาหวานโดยไม่รู้ตัวอยู่ก่อนก็ได้
 
 
 การดูแลตนเอง
 
 หากสงสัย เช่น มีอาการคันหู ปวดหู มีน้ำเหลืองหรือหนองไหลออกจากหู ควรปรึกษาแพทย์
 
 เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคเชื้อราในช่องหู ควรดูแลตนเอง ดังนี้
 
 รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
 ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
 งดการลงเล่นน้ำ ดำน้ำ หรือว่ายน้ำในสระหรือแม่น้ำลำคลอง
 งดการเดินทางโดยเครื่องบิน
 หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ใด ๆ สวมใส่หู
 เวลาอาบน้ำ ใช้สำลีหรือวัสดุอุดรูหูป้องกันไม่ให้น้ำเข้าหู
 
 
 ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
 
 ดูแลรักษา 2-3 วันแล้วอาการไม่ทุเลา
 มีไข้สูง หรือปวดหูมากขึ้น
 ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
 ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
 
 การป้องกัน
 
 หลีกเลี่ยงการแคะหู ด้วยนิ้วมือ ไม้แคะหู ไม้พันสำลี หรือสิ่งอื่น ๆ
 หลีกเลี่ยงการลงเล่นน้ำหรือว่ายน้ำในแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด
 เวลาใช้สเปรย์ผมหรือยาย้อมผม ควรใช้สำลีอุดหู เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการระคายเคืองหรือการแพ้
 หลังอาบน้ำ สระผม หรือว่ายน้ำ ควรใช้ผ้าเช็ดบริเวณรอบ ๆ ใบหูให้แห้ง และตะแคงหูลงทีละข้างลงด้านล่าง แล้วเคาะที่ศีรษะเบา ๆ เพื่อให้น้ำระบายออกจากหู ป้องกันไม่ให้มีน้ำค้างอยู่ในช่องหู (ไม่ให้ใช้ไม้พันสำลีแยงหูเพื่อซับน้ำ อาจทำให้เกิดแผลถลอกได้)
 ผู้ที่มีหูอักเสบหรือหลังได้รับการผ่าตัดหู ก่อนจะลงเล่นน้ำหรือว่ายน้ำในสระ ควรปรึกษาแพทย์ที่ให้การรักษาว่าสมควรหรือไม่
 
 ข้อแนะนำ
 
 โรคนี้มักไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ส่วนมากสามารถรักษาให้หายได้ภายใน 5-7 วัน แต่ถ้ามีอาการกำเริบใหม่ เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง หรือพบว่าหูชั้นนอกมีการอักเสบรุนแรง (ปวดหูมาก หนองไหล มีกลิ่นเหม็น หูตึง อาจมีอาการปากเบี้ยว) แพทย์จำเป็นต้องตรวจหาสาเหตุ เช่น ตรวจเลือดว่าเป็นเบาหวาน หรือโรคเอดส์หรือไม่