แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 61
1
หมอประจำบ้าน: ผมร่วงจากซิฟิลิส (ระยะที่ 2)

ผู้ที่เป็นโรคซิฟิลิส ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่งอาจมีอาการแบ่งออกเป็น 3 ระยะ อาการผมร่วงพบในระยะที่ 2 ของโรค (ดู "โรคซิฟิลิส" เพิ่มเติม)

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อซิฟิลิสซึ่งติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นส่วนใหญ่

อาการ

อาการผมร่วง อาจเป็นอาการแสดงออกของผู้ป่วยซิฟิลิสในระยะที่ 2 ผู้ป่วยอาจมีอาการเป็นไข้หนาว ๆ ร้อน ๆ ปวดเมื่อยตามตัว หรือมีผื่นขึ้นทั่วตัวร่วมด้วย ส่วนอาการผมร่วง อาจร่วงเป็นกระจุก ๆ เวลาหวีผม และจำนวนที่ร่วงในแต่ละวันมากกว่าปกติ (ปกติไม่ควรร่วงเกินวันละ 100 เส้น) ลักษณะของหนังศีรษะบริเวณที่มีผมร่วง อาจดูคล้ายถูกแมลงแทะเป็นหย่อม ๆ แต่บางรายอาจมีผมร่วงทั่วศีรษะก็ได้ มักจะพบมีเส้นผมตกตามหมอนและที่นอน และถ้าใช้มือดึงเส้นผมเบา ๆ ก็จะมีเส้นผมหลุดติดมือมาง่ายกว่าปกติ

ผู้ป่วยมักมีประวัติเที่ยวผู้หญิง หรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นโรคนี้มาก่อน และก่อนหน้าที่จะมีอาการผมร่วงเพียงไม่กี่เดือนหรือไม่กี่สัปดาห์ อาจมีแผลขึ้นที่อวัยวะเพศ (ซิฟิลิสระยะแรก) แต่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง

ภาวะแทรกซ้อน

หากไม่รักษาก็จะเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคซิฟิลิสตามมา

การวินิจฉัย

แพทย์จะทำการตรวจเลือดหาวีดีอาร์แอล (VDRL)

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาแบบซิฟิลิสระยะที่ 2 โดยให้ยาปฏิชีวนะ (ดู "โรคซิฟิลิส" เพิ่มเติม)

ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องมักทำให้กลายเป็นซิฟิลิสระยะที่ 3 ซึ่งเป็นอันตรายได้

การดูแลตนเอง

หากสงสัยควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นซิฟิลิส ควรรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

2
การสร้างอาชีพ จากการขายอาหาร ผ่านช่องทางออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ

การสร้างอาชีพจากการขายอาหารผ่านช่องทางออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยการวางแผนและการจัดการอย่างรอบคอบ ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับและแนวทางที่จะช่วยให้คุณสร้างอาชีพจากการขายอาหารออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ:

1. วางแผนธุรกิจอย่างละเอียด:

กำหนดประเภทอาหารและเมนู:
เลือกประเภทอาหารที่คุณถนัดและมีความเชี่ยวชาญ
ศึกษาตลาดและความต้องการของลูกค้าในพื้นที่ของคุณ
สร้างเมนูที่หลากหลายและน่าสนใจ

วางแผนการตลาด:
กำหนดกลุ่มเป้าหมายและช่องทางการขาย
สร้างแบรนด์และเรื่องราวของร้านค้า
วางแผนการโปรโมทและโฆษณา

จัดการต้นทุนและราคา:
คำนวณต้นทุนวัตถุดิบ ค่าบรรจุภัณฑ์ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ อย่างละเอียด
กำหนดราคาขายที่เหมาะสมและสามารถแข่งขันได้

เตรียมอุปกรณ์และสถานที่:
ตรวจสอบและเตรียมอุปกรณ์ทำอาหารให้พร้อมใช้งาน
จัดเตรียมสถานที่ทำอาหารให้สะอาดและถูกสุขอนามัย
เลือกใช้อุปกรณ์และบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมกับประเภทอาหาร

2. สร้างความแตกต่างและคุณภาพ:

สูตรลับและเอกลักษณ์:
คิดค้นสูตรอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพและสดใหม่
ใส่ใจในรายละเอียดและรสชาติของอาหาร

บรรจุภัณฑ์:
เลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่สะอาด ปลอดภัย และสวยงาม
ออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สะดวกต่อการรับประทานและขนส่ง
รักษาอุณหภูมิและคุณภาพของอาหารระหว่างการขนส่ง

รูปภาพและวิดีโอ:
ถ่ายภาพอาหารให้สวยงาม น่ารับประทาน
ทำวิดีโอแนะนำเมนูหรือขั้นตอนการทำอาหาร

3. ใช้ประโยชน์จากช่องทางออนไลน์:

แอปพลิเคชันเดลิเวอรี่:
เข้าร่วมแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่ที่ได้รับความนิยม เช่น GrabFood, LINE MAN, foodpanda

สร้างโปรไฟล์ร้านค้าที่น่าสนใจและมีข้อมูลครบถ้วน
โซเชียลมีเดีย:
สร้างเพจหรือกลุ่มบน Facebook, Instagram, TikTok เพื่อโปรโมทร้านค้า
ใช้รูปภาพและวิดีโอที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดลูกค้า
สร้างกิจกรรมและโปรโมชั่นพิเศษสำหรับผู้ติดตาม

เว็บไซต์ (ถ้ามี):
สร้างเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
ใช้ระบบสั่งซื้อและชำระเงินออนไลน์ที่สะดวก

การตลาดออนไลน์:
ใช้โฆษณาออนไลน์เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่
สร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและมีประโยชน์ต่อลูกค้า
ใช้ SEO (Search Engine Optimization) เพื่อให้ร้านค้าของคุณปรากฏในผลการค้นหา

4. การจัดการและบริการ:

การจัดการออเดอร์:
ตรวจสอบออเดอร์อย่างละเอียดและแม่นยำ
เตรียมอาหารให้รวดเร็วและตรงเวลา
ตรวจสอบความถูกต้องของอาหารก่อนส่งให้ลูกค้า

การจัดส่ง:
เลือกใช้บริการจัดส่งที่น่าเชื่อถือ
ตรวจสอบเส้นทางการจัดส่งและเวลาที่ใช้ในการจัดส่ง
แจ้งสถานะการจัดส่งให้ลูกค้าทราบ

บริการลูกค้า:
ใส่ใจในการบริการและตอบคำถามของลูกค้าอย่างรวดเร็ว
รับฟังความคิดเห็นและแก้ไขปัญหาของลูกค้า
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าเพื่อสร้างฐานลูกค้าประจำ

5. เคล็ดลับเพิ่มเติม:

สร้างเรื่องราวและเอกลักษณ์ของร้านค้า: สร้างเรื่องราวและเอกลักษณ์ของร้านค้า
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับซัพพลายเออร์: สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับซัพพลายเออร์
พัฒนาตัวเองและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ: พัฒนาตัวเองและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ

การสร้างอาชีพจากการขายอาหารออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยความตั้งใจ ความอดทน และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ขอให้คุณประสบความสำเร็จในการสร้างอาชีพจากครัวที่บ้านของคุณ

3
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


4
7 อาการน้ำตาลสูงในผู้ป่วยโรคเบาหวานและวิธีป้องกัน

อาการน้ำตาลสูงในผู้ป่วยเบาหวานหรืออาการที่เกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยโรคเบาหวานมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) เป็นภาวะที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานทุกคนควรป้องกันไม่ให้เกิด เพราะอาจนำไปสู่การเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่ร้ายแรงขึ้น เช่น การเกิดความเสียหายต่อดวงตา ไต เส้นประสาท หัวใจ และระบบหลอดเลือดส่วนปลายได้หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

อาการน้ำตาลสูงในผู้ป่วยเบาหวานเกิดขึ้นเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าเกณฑ์ปกติ เช่น สูงกว่า 125 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรหลังจากมื้ออาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง โดยอาจเป็นผลมาจากการที่ผู้ป่วยไม่ได้รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง รับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตมากเกินไปจนไม่สมดุลกับระดับอินซูลินในร่างกาย รวมถึงการรับประทานยาบางชนิด การเจ็บป่วยบางอย่าง และความเครียด

สัญญาณของการเกิดอาการน้ำตาลสูงในผู้ป่วยเบาหวาน

ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง คือภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูงกว่าเกณฑ์ปกติ ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถทราบระดับน้ำตาลในเลือดได้โดยการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด รวมทั้งสังเกตุจากอาการทางร่างกายดังต่อไปนี้

1. มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่า 125 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรหลังจากมื้ออาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง หรือมากกว่า 180 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรหลังจากมื้ออาหาร 2 ชั่วโมง จะถือว่ามีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
2. ผลการตรวจวัดระดับ HbA1c หรือการตรวจวัดระดับน้ำตาลในระยะยาวของผู้ป่วยโรคเบาหวานสูงมากกว่า 6.5% ด้วย
3. รู้สึกเหนื่อยล้าหรือง่วงมากกว่าปกติ
4. รู้สึกหิวหรือกระหายน้ำมากกว่าปกติ
5. ปัสสาวะมากกว่าปกติโดยเฉพาะตอนกลางคืน
6. น้ำหนักลดแม้จะมีพฤติกรรมการกินที่ปกติหรือมากกว่าปกติ
7. ปวดศีรษะ มองเห็นภาพซ้อน

นอกจากนี้ หากผู้ป่วยโรคเบาหวานมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงแต่ไม่ได้รับการรักษาหรือควบคุมอาการอย่างเหมาะสม สามารถนำไปสู่การเกิดภาวะเลือดเป็นกรด (Diabetic Ketoacidosis: DKA) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิตได้ด้วย

อาการที่อาจเป็นสัญญาณของการเกิดภาวะเลือดเป็นกรด มีดังนี้

    ลมหายใจมีกลิ่นเปรี้ยวผิดปกติ
    อาเจียน
    มีภาวะขาดน้ำ
    หัวใจเต้นเร็ว
    หายใจลำบากหรือหายใจไม่ออก
    เกิดความสับสน
    เกิดภาวะโคม่า

แนวทางการป้องกันการเกิดอาการน้ำตาลสูงในผู้ป่วยเบาหวาน

ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

    รับประทานยาหรือฉีดยาตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ควรลืมรับประทานยาหรือหยุดใช้ยาเองโดยที่แพทย์ไม่ได้สั่ง
    หมั่นตรวจสอบและจดบันทึกระดับน้ำตาลในเลือดของตัวเองทุกวัน
    หลีกเลี่ยงอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลในปริมาณมาก
    เน้นรับประทานอาหารที่เหมาะสำหรับคนเป็นเบาหวาน เช่น ปลา ไข่ ผักใบเขียว และธัญพืชที่มีใยอาหารสูง
    ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
    พักผ่อนให้เพียงพอ
    จัดการความเครียดอย่างเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม อาการน้ำตาลสูงในผู้ป่วยเบาหวานสามารถนำไปสู่การเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิตได้ ผู้ป่วยโรคเบาหวานจึงควรไปพบแพทย์ทันทีหากมีระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 13.3 มิลลิโมลต่อลิตร มีอาการของภาวะเลือดเป็นกรดเกิดขึ้น รวมถึงมีอาการผิดปกติอื่น ๆ เกิดขึ้น เช่น ปากแห้ง เกิดความสับสน อาเจียนหรือท้องเสียอย่างต่อเนื่อง มีไข้นานกว่า 24 ชั่วโมง และเกิดอาหารหายใจลำบาก

5
หมอประจำบ้าน: เลือดกำเดา (Epistaxis/Nose bleed)

เลือดกำเดา (เลือดออกจากจมูก) เกิดจากหลอดเลือดฝอยที่บริเวณเยื่อจมูกมีการแตกทำลาย ทำให้มีเลือดออกจากรูจมูก

ส่วนใหญ่เกิดจากหลอดเลือดฝอยที่ผนังกั้นจมูกด้านหน้าแตก มักมีเลือดออกจากจมูกข้างเดียว อาการมักไม่รุนแรง และเลือดหยุดได้ง่าย ภาวะนี้พบบ่อยในเด็ก

ส่วนน้อยเกิดจากหลอดเลือดฝอยที่ผนังจมูกด้านข้างซึ่งอยู่ลึกไปทางด้านหลังของจมูก (มีขนาดที่ใหญ่กว่าหลอดเลือดฝอยที่ผนังกั้นจมูกด้านหน้า) แตก อาจมีเลือดออกจากจมูก 2 ข้าง และอาจมีเลือดออกมาก ซึ่งจะไหลลงคอและปาก ภาวะนี้พบบ่อยในผู้ใหญ่

เลือดกำเดาส่วนมากมักเกิดอาการขึ้นฉับพลัน บางรายอาจมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย พบได้ในคนทุกวัย พบบ่อยในเด็กเล็ก (อายุ 2-10 ปี) และผู้สูงอายุ (อายุ 50-80 ปี)

นอกจากนี้ ยังพบได้บ่อยในหญิงตั้งครรภ์ (เนื่องจากหลอดเลือดขยายตัว ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแตกได้ง่าย) ผู้ที่สูบบุหรี่ (เนื่องจากบุหรี่ทำให้ระคายเคืองต่อเยื่อบุจมูก จมูกแห้ง) หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด (เนื่องจากแอลกอฮอล์ทำให้หลอดเลือดขยายตัว และยับยั้งการแข็งตัวของเลือด)

ส่วนมากจะไม่มีอันตรายร้ายแรง และหายได้เอง

สาเหตุ

โดยมากมักไม่มีสาเหตุร้ายแรง ซึ่งจะมีเลือดออกเพียงเล็กน้อยและหยุดได้เอง

สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ การแคะจมูกหรือสั่งน้ำมูกแรง ๆ การเจออากาศแห้งหรือหนาวเย็น หรือนอนในห้องปรับอากาศ การอักเสบของเยื่อจมูก (เช่น ไข้หวัด หวัดภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ เยื่อจมูกอักเสบ เป็นต้น) การอยู่ในที่สูงซึ่งมีความดันบรรยากาศลดลง (เช่น การนั่งเครื่องบิน การอยู่บนภูเขาสูง)

อาจเกิดจากได้รับบาดเจ็บ (เช่น ถูกแรงกระแทกที่ดั้งจมูก) มีสิ่งแปลกปลอมเข้าจมูก ผนังกั้นจมูกคด ติ่งเนื้อเมือกจมูก การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด

อาจพบร่วมกับโรคติดเชื้อ (เช่น หัด มาลาเรีย ไข้เลือดออก เป็นต้น) ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง โรคตับเรื้อรัง (มีภาวะเลือดออกง่าย) การใช้ยา (เช่น ยาแก้แพ้ ลดน้ำมูก แก้คัดจมูก)

ผู้ป่วยที่เป็นความดันโลหิตสูง บางครั้งก็อาจมีเลือดกำเดาไหล และถ้ามีความดันโลหิตสูงแบบวิกฤต (hypertensive crisis คือ ความดันช่วงบนมากกว่าหรือเท่ากับ 180 หรือช่วงล่างมากกว่าหรือเท่ากับ 120 มม.ปรอท) ก็มักจะมีอาการเลือดกำเดาไหลบ่อย

ส่วนน้อยอาจมีสาเหตุร้ายแรง เช่น โรคเลือดที่มีเลือดออกง่าย ได้แก่ ฮีโมฟิเลีย มะเร็งเม็ดเลือดขาว โลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ ไอทีพี เป็นต้น ซึ่งมักมีเลือดออกตามไรฟัน มีจ้ำเขียวขึ้นตามตัว อาจมีเลือดออกที่อื่น ๆ มีไข้ หรือตับโตม้ามโตร่วมด้วย

ในผู้ใหญ่ที่มีเลือดกำเดาบ่อยร่วมกับอาการคัดจมูก หูอื้อหรือมีก้อนบวมที่ข้างคอ อาจเกิดจากมะเร็ง หรือเนื้องอกในจมูกหรือโพรงหลังจมูก

อาการ

มีเลือดสด ๆ ไหลออกทางรูจมูกข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้ง 2 ข้าง

ถ้าออกที่ด้านหลังของจมูกอาจมีเลือดไหลลงคอและปาก ผู้ป่วยอาจมีอาการไอออกมาเป็นเลือดจากเลือดกำเดาที่ไหลลงคอ หรืออาจกลืนเลือดลงไปในกระเพาะอาหารทำให้อาเจียน หรือมีอาการถ่ายอุจจาระดำ (ซึ่งเป็นเลือดเก่า มาจากเลือดกำเดาที่ไหลลงไปในลำไส้) ในวันต่อ ๆ มา

ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าออกมากอาจทำให้เกิดภาวะซีดได้ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นค่อนข้างน้อย

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

อาจตรวจพบเลือดกำเดาไหลหรือจุดเลือดออกที่เยื่อจมูก ภาวะซีด (ในรายที่เสียเลือดมาก)

ในรายที่มีโรคที่เป็นสาเหตุของเลือดกำเดา อาจตรวจพบความผิดปกติ เช่น ไข้ น้ำมูกไหล จุดแดงจ้ำเขียวตามตัว เลือดออกตามที่อื่น ๆ ผนังกั้นจมูกคด ติ่งเนื้อเมือกจมูก สิ่งแปลกปลอมในรูจมูก ความดันโลหิตสูง ดีซ่าน ตับโต เป็นต้น

ในรายที่เลือดกำเดาออกรุนแรง เป็น ๆ หาย ๆ บ่อย หรือตรวจพบหรือสงสัยว่ามีโรคที่เป็นสาเหตุของเลือดกำเดา แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ใช้กล้องส่องตรวจจมูกและโพรงหลังจมูก ตรวจชิ้นเนื้อ ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ให้การปฐมพยาบาล โดยให้ผู้ป่วยนั่งตัวตรง โน้มตัวไปข้างหน้า ก้มศีรษะเล็กน้อย ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้บีบจมูกทั้ง 2 ข้างให้แน่นเป็นเวลา 10 นาที บอกให้ผู้ป่วยหายใจทางปากแทน

ส่วนมากมักจะได้ผลโดยวิธีดังกล่าว ถ้าไม่ได้ผลให้ทำซ้ำอีกครั้งนาน 10 นาที

ถ้าเลือดยังไม่หยุด แพทย์จะใช้ผ้าก๊อซหรือผ้าสะอาดชิ้นเล็ก ๆ ชุบอะดรีนาลิน ขนาด 1:1,000 ให้ชุ่มสอดเข้าในรูจมูกข้างที่มีเลือดออก ยัดให้แน่น ยานี้จะช่วยให้หลอดเลือดฝอยตีบลงและเลือดหยุดได้ ควรยัดผ้าก๊อซไว้นาน 2-3 ชั่วโมง เมื่อแน่ใจว่าเลือดหยุดดีแล้วจึงค่อย ๆ ดึงออก

ในรายที่เลือดออกไม่หยุด อาจต้องรักษาโดยการจี้ด้วยสารเคมี-ซิลเวอร์ไนเทรต (silver nitrate) หรือจี้ด้วยความร้อน (electrocautery)

2. ในรายที่แพทย์ทำการตรวจเพิ่มเติม พบภาวะซีด หรือโรคที่เป็นสาเหตุ ก็จะทำการรักษาภาวะ/โรคที่ตรวจพบ เช่น ให้ยาบำรุงโลหิตในรายที่มีภาวะซีดจากการเสียเลือด, ให้ยารักษาโรค (เช่น ไข้หวัด หวัดภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ความดันโลหิตสูง โรคเลือด), ปรับเปลี่ยนยา (ที่ใช้รักษาโรคอยู่เดิม) ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เลือดกำเดาไหล, เอาสิ่งแปลกปลอมออก, ผ่าตัดแก้ไข (เช่น ผนังกั้นจมูกคด เนื้องอกในโพรงจมูก) เป็นต้น

ผลการรักษา ส่วนใหญ่หายได้ภายในเวลาสั้น ๆ โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน แต่ถ้าหลังจากนั้นผู้ป่วยไม่ได้หลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการ ก็อาจกำเริบซ้ำได้อีก

ส่วนน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ ซึ่งมีโรคที่เป็นสาเหตุของเลือดกำเดา จำเป็นต้องได้รับการรักษาโรคที่เป็นสาเหตุอย่างต่อเนื่อง

 วิธีห้ามเลือดกำเดา

การปฐมพยาบาล สำหรับอาการเลือดกำเดาไหล

    จัดให้ผู้ป่วยนั่งตัวตรง โน้มตัวไปข้างหน้า ก้มศีรษะเล็กน้อย
    ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้บีบจมูกทั้ง 2 ข้างให้แน่น บอกให้ผู้ป่วยหายใจทางปากแทน นาน 10 นาที
    ถ้าคลายนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ที่บีบจมูกออกแล้วเลือดยังไม่หยุด ให้ทำการบีบจมูกตามขั้นตอนข้างต้นซ้ำอีกครั้ง นาน 10 นาที ถ้าเลือดยังไม่หยุดควรรีบไปพบแพทย์ หรือให้แพทย์ทำการช่วยเหลือด้วยวิธีอื่นต่อไป

หมายเหตุ

    ระหว่างให้การปฐมพยาบาล อย่าให้ผู้ป่วยนอนราบหรือเงยหน้าขึ้น เพราะผู้ป่วยอาจกลืนเลือดลงไประคายต่อกระเพาะอาหาร เกิดอาการอาเจียนได้ หากมีเลือดไหลลงคอหรือปาก ควรคายออก อย่ากลืนลงไป
    หลังจากให้การช่วยเหลือจนเลือดหยุดแล้ว ควรระวังไม่ให้มีเลือดกำเดาออกอีก โดย
    - รักษาศีรษะให้อยู่ในระดับสูงกว่าหัวใจ อย่าก้มศีรษะให้อยู่ต่ำกว่าระดับหัวใจ และห้ามออกแรงเบ่ง ยกของหนัก เป็นเวลา 4-5 ชั่วโมง
    - ห้ามสั่งน้ำมูก แคะจมูก ขยี้จมูก เป็นเวลา 4-5 วัน
    - ถ้าเป็นไปได้ควรระวังไม่ให้ไอ จาม

การดูแลตนเอง

1. เมื่อมีเลือดกำเดาไหล ควรทำการปฐมพยาบาล

ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว ถ้ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ทำการปฐมพยาบาลไม่ได้ผล หรือมีเลือดกำเดาออกนานเกิน 20 นาที
    เลือดออกมาก หรือมีเลือดออกตามที่อื่น ๆ
    หายใจลำบาก
    มีอาการอาเจียนเพราะกลืนเลือดลงกระเพาะอาหารมาก
    ได้รับบาดเจ็บรุนแรง เช่น รถชน ตกจากที่สูง ถูกทุบตีที่ศีรษะ/ใบหน้า/จมูก
    มีภาวะซีดจากการเสียเลือด หรือมีจุดแดงจ้ำเขียวตามตัว
    มีประวัติกินยาต้านเกล็ดเลือด/สารกันเลือดเป็นลิ่ม
    มีโรคประจำตัว เช่น โรคเลือด ความดันโลหิตสูง โรคตับเรื้อรัง
    พบในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี
    เป็น ๆ หาย ๆ บ่อย

2. กรณีที่ไปพบแพทย์ เมื่อได้รับการรักษาจากแพทย์ ควรดูแลตนเองดังนี้

    กินยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามการรักษาตามที่แพทย์นัด
    ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
    - มีเลือดกำเดาไหลไม่หยุดหรือกำเริบใหม่
    - เจ็บหรือแน่นจมูกมาก หายใจลำบาก ปวดศีรษะมาก อาเจียนบ่อย มีไข้สูง เบื่อ อาหาร หรือน้ำหนักลด
    - กินยาที่แพทย์ให้กลับไปกินที่บ้าน แล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด

การป้องกัน

สำหรับเลือดกำเดาที่พบบ่อยซึ่งมักเกิดจากสาเหตุที่ป้องกันได้ ควรปฏิบัติ ดังนี้

    หลีกเลี่ยงการแคะจมูก และตัดเล็บให้สั้น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก)
    หลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูกแรง ๆ
    ไม่สูบบุหรี่
    จำกัดปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่ม
    ถ้าเป็นหวัด น้ำมูกไหล ใช้ยาตามขนาดที่แพทย์แนะนำ และไม่ใช้ติดต่อกันนาน ๆ
    หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่อากาศแห้งหรือหนาวเย็น ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ควรพ่นรูจมูกด้วยสเปรย์น้ำเกลือ/หยอดจมูกด้วยน้ำเกลือ วันละ 2-3 ครั้งเพื่อให้จมูกชุ่มชื้น

    ถ้ามีอาการเลือดกำเดาเวลานอนในห้องปรับอากาศ ควรตั้งเครื่องเพิ่มความชื้นไว้ในห้อง หรือวางภาชนะใส่น้ำ (เช่น แก้ว ขัน กระป๋อง กะละมัง) ไว้ใกล้หัวนอน เพื่อเพิ่มความชื้น และ/หรือใช้วาสลินป้ายในรูจมูกก่อนนอน
    ถ้าทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บต่อศีรษะ/จมูก ควรใช้อุปกรณ์ป้องกัน
    ในรายที่เกิดจากสาเหตุที่ป้องกันได้ เช่น ไข้หวัด หวัดภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ความดันโลหิตสูง เป็นต้น ก็ควรดูแลรักษาโรคเหล่านี้ให้ถูกต้อง

ข้อแนะนำ

1. เลือดกำเดาส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พบในเด็ก มักไม่รุนแรง และหยุดได้ภายใน 20 นาที โดยอาจหยุดได้เองหรือหลังให้การปฐมพยาบาล อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีเลือดกำเดาไหลนานหรือรุนแรง หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ

2. ผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ หากมีเลือดกำเดาไหล อาจมีความรุนแรง มีเลือดไหลมากและนานได้ เนื่องจากอาจมีโรคประจำตัว (เช่น โรคเลือด โรคตับเรื้อรัง ความดันโลหิตสูง มะเร็งโพรงหลังจมูก) หรือกินยารักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดที่มีผลทำให้เลือดออกง่าย (เช่น ยาต้านเกล็ดเลือด สารกันเลือดเป็นลิ่ม) ดังนั้น เมื่อมีเลือดกำเดาเกิดขึ้น ควรเฝ้าสังเกตอาการ หากมีเลือดกำเดาออกมากหรือนานเกิน 20 นาที ก็ควรรีบไปพบแพทย์

6
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


7
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: โรคของหญิงวัยหมดประจำเดือน (Menopausal syndrome)

โรคของหญิงวัยหมดประจำเดือน (กลุ่มอาการสตรีวัยหมดระดู ก็เรียก) เป็นภาวะที่พบในช่วงใกล้และหลังวัยหมดประจำเดือน คือในช่วงอายุระหว่าง 40-60 ปี ซึ่งนิยมเรียกว่า วัยทอง

วัยหมดประจำเดือน (menopause) จะนับตั้งแต่ระยะเวลา 12 เดือน หลังมีประจำเดือนครั้งสุดท้าย โดยทั่วไปมักอยู่ในช่วงอายุประมาณ 51-55 ปี (ประมาณ 51 ปีโดยเฉลี่ย) บางรายอาจเกิดขึ้นตั้งแต่อายุ 40 ปี ถ้าเกิดขึ้นก่อนอายุ 40 ปี เรียกว่า วัยหมดประจำเดือนก่อนกำหนด (premature menopause)

สาเหตุ

เกิดจากการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของผู้หญิงในวัยนี้ที่รังไข่ค่อย ๆ ลดจนกระทั่งหยุดทำหน้าที่ในการสร้างฮอร์โมนเอสโทรเจนและโพรเจสเทอโรนอย่างถาวร ทำให้สิ้นสุดการมีประจำเดือน (ระดู) ที่เคยเกิดขึ้นเป็นวงจรในแต่ละเดือน

เนื่องจากความแปรปรวนของระดับฮอร์โมนเอสโทรเจนที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงก่อนถึงวัยหมดประจำเดือนและการลดลงของเอสโทรเจนอย่างมากในช่วงหลังวัยหมดประจำเดือน ทำให้เกิดอาการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจต่าง ๆ ซึ่งค่อย ๆ เป็นมากขึ้น และทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากภาวะพร่องเอสโทรเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะต่อมาอีกหลายปีจนเข้าสู่วัยสูงอายุ

ส่วนวัยหมดประจำเดือนก่อนกำหนด อาจมีความสัมพันธ์กับปัจจัยทางกรรมพันธุ์ (มีมารดาที่เกิดภาวะเดียวกัน) หรือเกิดจากปฏิกิริยาภูมิต้านตนเองก็ได้ และบางรายอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน

อาการ

ระยะใกล้ถึงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งเรียกว่า วัยใกล้หมดประจำเดือน (perimenopause) อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 40-50 ปี ผู้ป่วยอาจมีอาการผิดปกติซึ่งมีความรุนแรงมากน้อยแตกต่างกันไป ก่อนเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนประมาณ 2-8 ปี บางรายอาจไม่มีอาการแสดงให้เห็นเด่นชัดก็ได้

อาการผิดปกติที่เกิดขึ้น เกี่ยวเนื่องกับความแกว่งขึ้นลงของระดับฮอร์โมนเอสโทรเจน รวมทั้งภาวะพร่องเอสโทรเจนในที่สุด โดยมักมีอาการประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอเป็นอาการแรกเริ่ม อาจมาก่อนหรือช้ากว่าปกติ อาจออกน้อยหรือมากไม่แน่นอน บางรายประจำเดือนอาจหายไปหลายเดือนแล้วกลับมามีประจำเดือนเป็นปกติใหม่ หรืออาจมีประจำเดือนสม่ำเสมอทุกเดือน จนกระทั่งเข้าสู่ภาวะหมดประจำเดือนก็ได้

ต่อมาผู้ป่วยจะมีอาการร้อนซู่ช่าตามผิวกาย ซึ่งพบได้ประมาณ 3 ใน 4 คน โดยมีอาการร้อนตามใบหน้า ต้นคอ หัวไหล่ แผ่นหลังในช่วงสั้น ๆ ประมาณ 30 วินาที ถึง 5 นาที (เฉลี่ยประมาณ 2-3 นาที) อาจเป็นทุกชั่วโมง หรือทุก 2-3 วัน และมักจะเป็นในช่วงกลางคืน ในรายที่เป็นมากอาจทำให้รู้สึกไม่สุขสบาย หงุดหงิด หรือนอนไม่หลับ อาการร้อนซู่ช่ามักเป็นอาการชักนำให้ผู้ป่วยมาปรึกษาแพทย์ มักมีอาการนำมาก่อนจะถึงวัยหมดประจำเดือน 1-2 ปี และจะหายไปหลังจากหมดประจำเดือนแล้วประมาณ 1-2 ปี มักไม่เกิน 5 ปี แต่บางรายอาจนานเกิน 5 ปีขึ้นไป ความถี่และความรุนแรงของอาการร้อนซู่ช่าจะแตกต่างกันไปในหญิงแต่ละคน นอกจากนี้ยังขึ้นกับปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการถี่ขึ้นได้ เช่น การกินอาหารเผ็ด การดื่มกาแฟหรือแอลกอฮอล์ อากาศร้อน ความเครียด ปัญหาครอบครัว เป็นต้น

ผู้ป่วยจะมีอาการเหงื่อออก โดยเฉพาะตอนกลางคืน และอาจมีอาการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และจิตใจ (อาการทางจิตประสาท) เช่น หงุดหงิด โมโหง่าย อารมณ์แปรปรวน วิตกกังวล ซึมเศร้า จิตใจห่อเหี่ยว ความจำเสื่อม หลง ๆ ลืม ๆ ไม่มีสมาธิ นอนไม่หลับ เป็นต้น

ผู้ป่วยมักมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นและลงพุง เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การนอนไม่หลับ และเป็นไปตามวัยที่ร่างกายมีการเผาผลาญน้อยลง รวมทั้งไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย

นอกจากนี้ยังอาจมีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ บ้านหมุน อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ใจสั่น ปวดตามข้อ เป็นต้น

ในระยะต่อมา เมื่อเกิดภาวะพร่องเอสโทรเจน ก็อาจมีอาการเยื่อบุช่องคลอดแห้ง อาการผิดปกติของการถ่ายปัสสาวะ ผิวหนังแห้ง ริมฝีปากแห้ง ผมแห้ง ผมร่วง เป็นต้น

 ภาวะแทรกซ้อน

มักเป็นผลมาจากภาวะพร่องเอสโทรเจน ที่สำคัญได้แก่

    เยื่อบุช่องคลอดบาง แห้ง และขาดความยืดหยุ่น อาจทำให้มีอาการเจ็บปวดเวลาร่วมเพศ มีเลือดออกหลังร่วมเพศ และช่องคลอดอักเสบได้ ซึ่งมักเกิดขึ้นตั้งแต่วัยใกล้หมดประจำเดือน
    กล้ามเนื้อบริเวณเชิงกรานหย่อนยาน ทำให้เกิดอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะเล็ดเวลาหัวเราะ ไอ หรือยกของหนัก ซึ่งมักเกิดขึ้นตั้งแต่วัยใกล้หมดประจำเดือน
    เยื่อบุท้องปัสสาวะบาง ทำให้มีอาการแสบร้อนเวลาถ่ายปัสสาวะ และอาจทำให้เกิดการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะง่ายขึ้น ซึ่งมักเกิดขึ้นตั้งแต่วัยใกล้หมดประจำเดือน
    ผิวหนังบาง แห้ง และขาดความยืดหยุ่น อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ง่าย ซึ่งมักเกิดขึ้นตั้งแต่วัยใกล้หมดประจำเดือน
    ภาวะกระดูกพรุน ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงหลังหมดประจำเดือน (ดู "โรคกระดูกพรุน" เพิ่มเติม)
    ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงวัยหมดประจำเดือน โดยพบว่าแอลดีแอลคอเลสเตอรอลสูง และเอชดีแอลคอเลสเตอรอลต่ำ
    โรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจขาดเลือด และโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงหลังวัยหมดประจำเดือน อายุมากกว่า 60-65 ปี
    โรคสมองเสื่อม หลง ๆ ลืม ๆ ซึ่งมักเกิดช่วงย่างเข้าวัยสูงอายุ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

การตรวจร่างกายมักตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน

บางรายอาจพบว่ามีอาการผมบาง เต้านมลดความเต่งตึง มีไขมันที่หน้าท้อง

อาจตรวจพบความดันโลหิตสูง เบาหวาน ซึ่งเป็นการพบโดยบังเอิญตามวัย ไม่เกี่ยวกับภาวะพร่องเอสโทรเจน

บางกรณีแพทย์อาจยืนยันการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือดพบว่าระดับฮอร์โมนกระตุ้นรังไข่ (follicle stimulating hormone/FSH) และฮอร์โมนแอลเอช (luteinizing hormone/LH) สูง และระดับเอสโทรเจน (ที่มีชื่อว่า estradiol) ต่ำ

แพทย์อาจทำการตรวจให้แน่ใจว่าไม่ได้เกิดจากสาเหตุอื่นที่มีอาการคล้ายกับโรคของหญิงวัยหมดประจำเดือน ที่พบบ่อย คือ ภาวะขาดไทรอยด์ โดยทำการตรวจระดับฮอร์โมนไทรอยด์และฮอร์โมนกระตุ้นไทรอยด์ในเลือด (thyroid-stimulating hormone/TSH)

นอกจากนี้อาจต้องทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติมเพื่อตรวจกรองภาวะหรือโรคที่พบร่วม (ซึ่งอาจแฝงอยู่โดยยังไม่แสดงอาการ) เช่น ตรวจระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด (อาจพบเบาหวาน ไขมันในเลือดผิดปกติ) ตรวจกรองมะเร็งเต้านมโดยการถ่ายภาพรังสีเต้านม (mammography) ตรวจกรองมะเร็งปากมดลูกโดยการตรวจแพ็ปสเมียร์ ตรวจชิ้นเนื้อเยื่อบุมดลูกในรายที่มีเลือดออกทางช่องคลอดมากผิดปกติ ตรวจความหนาแน่นของกระดูก เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

1. ถ้าผู้ป่วยมีอาการเพียงเล็กน้อย ไม่ต้องให้ยารักษาแต่อย่างใด แพทย์จะให้ความมั่นใจแก่ผู้ป่วยว่า อาการที่เกิดขึ้นเป็นการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามธรรมชาติ และจะค่อย ๆ หายไปได้เอง

2. ถ้าไม่มีอาการไม่สุขสบายมาก ให้ยารักษาตามอาการ ถ้าปวดศีรษะหรือปวดข้อ ให้ยาแก้ปวด ถ้ามีความรู้สึกวิตกกังวล อารมณ์ซึมเศร้า นอนไม่หลับ ใช้ยาทางจิตประสาท เป็นต้น

3. ถ้าอาการไม่ดีหรือมีอาการมาก (เช่น ออกร้อนซู่ซ่ามาก เจ็บปวดเวลาร่วมเพศ ปัสสาวะเล็ด เป็นต้น) แพทย์จะให้กินฮอร์โมนเอสโทรเจนทดแทน (hormone replacement therapy/HRT) เพื่อลดอาการไม่สบายต่าง ๆ เช่น อาการร้อนซู่ช่า ปัสสาวะเล็ด ภาวะเยื่อบุช่องคลอดและผิวหนังบางและแห้ง อาการทางจิตประสาท เป็นต้น

แพทย์จะเลือกใช้ขนาดยาที่ต่ำที่สุดที่ทำให้มีประสิทธิผลในการรักษา นัดผู้ป่วยติดตามผลเป็นระยะ และปรับเปลี่ยนชนิดและขนาดของยาเพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียง ระยะเวลาที่ให้ยาฮอร์โมนทดแทนขึ้นกับข้อบ่งชี้ที่ให้และการตอบสนองต่อการรักษา โดยทั่วไปถ้าให้เพื่อลดอาการร้อนซูซ่า อาการทางจิตประสาท หรือปวดข้อและกล้ามเนื้อ อาจให้นานประมาณ 1-2 ปี ไม่เกิน 2 ปี

ในกรณีที่ไม่ได้ให้ฮอร์โมนทดแทน แพทย์จะให้ยารักษาตามอาการที่พบ เช่น ในรายที่มีช่องคลอดอักเสบจากเยื่อบุช่องคลอดบางและแห้ง ให้ใช้ครีมเอสโทรเจนทาช่องคลอดทุกคืน หรือทาทุกคืนเป็นเวลา 3 สัปดาห์ แล้วเว้น 1 สัปดาห์ สลับไปเรื่อย ๆ ในรายที่มีอาการเจ็บปวดเวลาร่วมเพศ ก่อนร่วมเพศให้ใช้เจลลีหล่อลื่น เช่น เจลลีเค-วาย (K-Y Jelly) ใส่ในช่องคลอด ในรายที่มีอาการร้อนซู่ช่า แพทย์อาจให้ยาฟลูออกซีทีน (fluoxetine) กาบาเพนทิน (gabapentin) หรือโคลนิดีน (clonidine) เป็นต้น

นอกจากนี้ก็ให้การรักษาภาวะอื่น ๆ ตามที่ตรวจพบ เช่น ไขมันในเลือดผิดปกติ กระดูกพรุน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ภาวะน้ำหนักเกิน เป็นต้น

ผลการรักษา การได้รับการตรวจรักษาจากแพทย์และการดูแลตนเองอย่างจริงจัง ช่วยให้อาการบรรเทาลง มีความสุขสบาย นอกจากนี้แพทย์สามารถค้นพบภาวะหรือโรคที่แฝงอยู่ในร่างกาย ช่วยให้ได้รับการบำบัดรักษาตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม ช่วยให้ทุเลาหรือป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการร้อนซู่ช่า หรือมีอาการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และจิตใจ (เช่น หงุดหงิด โมโหง่าย อารมณ์แปรปรวน วิตกกังวล ซึมเศร้า จิตใจห่อเหี่ยว ความจำเสื่อม หลง ๆ ลืม ๆ ไม่มีสมาธิ นอนไม่หลับ เป็นต้น) ในวัยหมดประจะเดือน ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคของหญิงวัยหมดประจำเดือน ควรดูแลตนเอง ดังนี้

1. รักษา กินยาตามคำแนะนำของแพทย์

2. ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

3. ปฏิบัติตัว ดังนี้

    ออกกำลังกายเป็นประจำ
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
    ผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การฝึกโยคะ มวยจีน ทำสมาธิ เป็นต้น
    ควบคุมน้ำหนักด้วยการควบคุมอาหารร่วมกับการออกกำลังกาย
    ไม่สูบบุหรี่
    กินถั่วเหลือง เต้าหู้ น้ำเต้าหู้เป็นประจำ
    หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ออกร้อนตามผิวกาย เช่น อาหารเผ็ด กาแฟ แอลอฮอล์ เป็นต้น

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    กินยาแล้วอาการไม่ทุเลา หรือมีอาการไม่สุขสบาย เช่น ปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะแสบขัด เยื่อบุช่องคลอดแห้ง เจ็บปวดเวลาร่วมเพศ มีอารมณ์ซึมเศร้า นอนไม่หลับ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

ภาวะหมดประจำเดือนเป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของร่างกายซึ่งไม่อาจป้องกันได้

เมื่อมีอาการของโรคของหญิงวัยหมดประจำเดือนเกิดขึ้นแล้ว ควรปฏิบัติตัว (เช่น การกินอาหารสุขภาพ ออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หาทางผ่อนคลายความเครียด) และกินยาตามคำแนะนำของแพทย์ ซึ่งจะช่วยทำให้อาการทุเลา และป้องกันภาวะแทรกซ้อน

ข้อแนะนำ

1. ในระยะแรกเริ่ม ซึ่งผู้ป่วยมีอาการประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ อาจมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ หากไม่ประสงค์จะมีบุตร ควรทำการคุมกำเนิด หากไม่ได้คุมกำเนิดแล้วมีอาการขาดประจำเดือนหรือมีอาการแพ้ท้อง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจให้แน่ใจว่าตั้งครรภ์หรือไม่

2.ผู้หญิงที่ผ่าตัดมดลูกและรังไข่ออกทั้ง 2 ข้าง หรือมีการรักษามะเร็งรังไข่ด้วยรังสีบำบัดตั้งแต่ก่อนวัยหมดประจำเดือน จะมีภาวะพร่องฮอร์โมนเอสโทรเจน ซึ่งเกิดอาการแบบโรคของวัยหมดประจำเดือนได้ แพทย์อาจต้องให้ผู้ป่วยกินเอสโทรเจนทดแทนอย่างต่อเนื่องจนถึงวัยหมดประจำเดือน

3. ผู้หญิงในวัยใกล้หมดประจำเดือน (อายุ 40-50 ปี) ถ้าหากมีเลือดออกจากช่องคลอดกะปริดกะปรอย หรือออกนานกว่าปกติ หรือกลับมีประจำเดือนครั้งใหม่หลังจากหมดไปนานกว่า 6 เดือน ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว อาจเป็นอาการของมะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งเยื่อบุมดลูกก็ได้ อย่าคิดว่าเป็นอาการของภาวะใกล้หมดประจำเดือน

4. ในปัจจุบันพบว่า การใช้ฮอร์โมนเอสโทรเจนร่วมกับโพรเจสเทอโรนติดต่อกันนาน ๆ อาจทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนิ่วน้ำดี โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็งเต้านม ภาวะหลอดเลือดดำส่วนลึกมีลิ่มเลือด ดังนั้นแพทย์จะใช้ฮอร์โมนทดแทนในการบำบัดกลุ่มอาการของหญิงวัยหมดประจำเดือนเท่าที่จำเป็น และใช้เป็นเพียงระยะไม่นาน รวมทั้งหลีกเลี่ยงการใช้ฮอร์โมนเอสโทรเจนในรายที่มีภาวะที่เป็นข้อห้ามใช้

8
Doctor At Home: เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis)

เยื่อหุ้มสมองอักเสบแบ่งออกได้หลายชนิด ซึ่งมีสาเหตุและความรุนแรงแตกต่างกันไป เช่น

1. เยื่อหุ้มสมองอักเสบเฉียบพลันชนิดมีหนอง (acute purulent meningitis) อาจเกิดจากเชื้อนิวโมค็อกคัส (pneumococcus) สเตรปโตค็อกคัส (streptococcus) อีโคไล (E. coli) เมนิงโกค็อกคัส (meningococcus) สแตฟีโลค็อกคัส (staphylococcus) เคล็บซิลลา (klebsiella) ฮีโมฟิลุสอินฟลูเอนเซ (Hemophilus influenzae) เป็นต้น ซึ่งมักจะมีอาการเกิดขึ้นฉับพลันทันที และมีความรุนแรง อาจเป็นอันตรายในเวลาอันรวดเร็ว

เชื้อโรคอาจแพร่กระจายจากแหล่งติดเชื้อที่ส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย (เช่น ปอดอักเสบ กระดูกอักเสบเป็นหนอง คออักเสบ ฝีที่ผิวหนัง โรคติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ) ผ่านกระแสเลือดไปที่เยื่อหุ้มสมอง

หรือไม่เชื้อก็อาจลุกลามโดยตรง เช่น ผู้ป่วยหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง ไซนัสอักเสบ อาจมีเชื้อโรคจากบริเวณดังกล่าวลุกลามไปถึงเยื่อหุ้มสมองโดยตรงหรือผู้ป่วยที่มีกะโหลกศีรษะแตก อาจมีเชื้อโรคลุกลามจากภายนอก เป็นต้น

2. เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากวัณโรค (tuberculous meningitis) เกิดจากเชื้อวัณโรค ซึ่งมักจะแพร่กระจายจากปอดหรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกายไปที่เยื่อหุ้มสมองโดยผ่านทางกระแสเลือด โรคนี้มักจะมีอาการค่อย ๆ เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ อาจกินเวลาเป็นสัปดาห์ แต่ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์เมื่อมีอาการรุนแรง จึงทำให้มีอัตราตายหรือพิการค่อนข้างสูง พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ พบมากในเด็กอายุ 1-5 ปี

3. เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัส (viral meningitis) อาจเกิดจากเชื้อคางทูม เชื้อไวรัสเอนเทอโร (enterovirus) เชื้อค็อกแซกกี (coxsackie virus) ไวรัสเฮอร์ปีส์ (herpesvirus) เชื้อเอชไอวี เป็นต้น เชื้อโรคมักแพร่กระจายผ่านทางกระแสเลือด ทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อหุ้มสมอง และบางกรณีอาจมีการอักเสบของเนื้อสมองร่วมด้วย

4. เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อรา ที่พบบ่อยในบ้านเรามีสาเหตุจากเชื้อคริปโตค็อกคัส (cryptococcus) ซึ่งพบในอุจจาระของนกพิราบ ไก่ และตามดิน เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายโดยการหายใจเข้าทางปอด ผ่านกระแสเลือดไปที่เยื่อหุ้มสมอง อาการจะค่อย ๆ เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ เช่นเดียวกับเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากวัณโรค มักพบในผู้สูงอายุและผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอเนื่องจากเป็นโรคเอดส์ มะเร็ง โรคเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน เอสแอลอี ไตวาย ตับแข็ง เป็นต้น) หรือมีประวัติกินยาสเตียรอยด์ หรือยากดภูมิคุ้มกันมานาน ส่วนในเด็กพบได้น้อยมาก เป็นโรคที่มีอันตรายร้ายแรงชนิดหนึ่ง เยื่อหุ้มสมองอักเสบชนิดนี้ มีชื่อเรียกว่า เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อคริปโตค็อกคัส (cryptococcal meningitis)

5. เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากพยาธิ (eosinophilic meningitis) ที่พบบ่อยในบ้านเรา ได้แก่ ตัวจี๊ด และพยาธิแองจิโอ (Angiostrongylus canthonensis) โรคนี้อาจมีความรุนแรงมากน้อยแล้วแต่ความผิดปกติที่เกิดขึ้นในสมอง ถ้ามีเลือดคั่งในสมองหรือสมองส่วนสำคัญถูกทำลายก็อาจทำให้ตายหรือพิการได้ ถ้าเป็นไม่รุนแรงจะหายได้เอง

พยาธิแองจิโอ พบมากทางภาคกลางและภาคอีสาน เป็นพยาธิที่มีอยู่ในหอยโข่ง ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีประวัติกินหอยโข่งดิบก่อนมีอาการประมาณ 1-2 เดือน พยาธิเข้าไปในกระเพาะสำไส้และไชเข้าสู่กระแสเลือดแล้วขึ้นไปที่สมอง โรคนี้มักพบในตอนปลายฤดูฝน เพราะเป็นช่วงที่หอยโข่งตัวโตเต็มที่ ซึ่งชาวบ้านจะจับกิน

6. เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้ออะมีบา (primary amebic meningoencephalitis) เกิดจากเชื้ออะมีบาที่มีชื่อว่า Naegleria fowleri ซึ่งอาศัยอยู่ในบ่อน้ำหรือที่มีน้ำไหลช้า ๆ หรือที่เป็นดินโคลน เชื้อเข้าสู่ร่างกายทางจมูกโดยการเล่นน้ำในบึง คู คลอง หรือสระน้ำที่มีเชื้ออยู่ หรือถูกน้ำสาดเข้าจมูก หรือสูดน้ำเข้าจมูก ตัวอะมีบาจะไชผ่านเยื่อบุของจมูก และเส้นประสาทการรู้กลิ่น (olfactory nerve) เข้าบริเวณฐานสมอง แล้วแพร่กระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของสมองและเยื่อหุ้มสมอง ระยะฟักตัว 3-7 วัน (อาจนานถึง 2 สัปดาห์) โรคนี้มีความร้ายแรง ซึ่งส่วนใหญ่จะเสียชีวิต

7. เยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดจากภาวะแทรกซ้อนของโรคติดเชื้อต่าง ๆ เช่น ไทฟอยด์ สครับไทฟัส เล็ปโตสไปโรซิส ซิฟิลิส เมลิออยโดซิส บรูเซลโลซิส เป็นต้น

8. อื่น ๆ เช่น เอสแอลอี มะเร็งบางชนิด ผลข้างเคียงจากยา (เช่น ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ โคไตรม็อกซาโซล เพนิซิลลิน ไซโพรฟล็อกซาซิน อัลโลพูรินอล เมโทเทรกเซต เป็นต้น ซึ่งมักเกิดกับผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิต้านตนเอง และหลังหยุดยาโรคก็จะทุเลาไปเอง)

9
ทำบุญไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ ริมแม่น้ำ ขอพร เสริมดวง ตามคติความเชื่อของไทย

การทำบุญไหว้พระ 9 วัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาในกรุงเทพฯ เป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมสิริมงคลให้ชีวิตในด้านต่างๆ ตามคติความเชื่อของไทย การเดินทางด้วยเรือด่วนเจ้าพระยาเป็นวิธีที่สะดวกและได้บรรยากาศที่ดีเยี่ยมค่ะ

นี่คือ 9 วัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่นิยมไปไหว้พระขอพร:


วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร (วัดแจ้ง)

จุดเด่น: เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 2 และมีพระปรางค์ที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ เชื่อกันว่าการไหว้พระที่นี่จะช่วยเสริมเรื่องการงาน การเดินทาง และชีวิตที่รุ่งโรจน์

การเดินทาง: ท่าเรือวัดอรุณฯ


วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร

จุดเด่น: เป็นวัดที่ประดิษฐานสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องชื่อเสียงโด่งดัง มีคนนิยมชมชอบ และเสริมวาทศิลป์ให้เป็นที่น่าฟัง

การเดินทาง: ท่าเรือวัดระฆังฯ


วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร

จุดเด่น: ประดิษฐานพระพุทธไตรรัตนนายก (หลวงพ่อโต) หรือซำปอกง ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องการเดินทางปลอดภัย มีมิตรไมตรีที่ดี และความสำเร็จในชีวิต

การเดินทาง: ท่าเรือวัดกัลยาณมิตร


วัดอรุณอมรินทร์ราชวราราม (วัดบางยี่ขัน)

จุดเด่น: เป็นวัดเก่าแก่ริมน้ำที่เงียบสงบ ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องความสงบสุขในชีวิต และความเจริญรุ่งเรือง

การเดินทาง: ท่าเรือวัดอรุณอมรินทร์


วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร

จุดเด่น: มีพระบรมธาตุมหาเจดีย์ และเขาโมกข์ (เขาเต่า) ที่สวยงาม ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องการมีสติปัญญาที่ดี และความสำเร็จในการศึกษา

การเดินทาง: ท่าเรือวัดประยูรฯ


วัดราชสิงขร

จุดเด่น: เป็นวัดเก่าแก่ที่อยู่ไม่ไกลจากเอเชียทีค ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องความมั่นคงในชีวิต และการค้าขายเจริญรุ่งเรือง

การเดินทาง: ท่าเรือวัดราชสิงขร


วัดยานนาวา

จุดเด่น: มีเอกลักษณ์คือพระเจดีย์ทรงสำเภา หรือสำเภาเจดีย์ ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องการเดินทางปลอดภัย การค้าขายรุ่งเรือง และการมีชีวิตที่ราบรื่นเหมือนการล่องเรือ

การเดินทาง: ท่าเรือสาทร (เดินต่อเล็กน้อย) หรือท่าเรือวัดยานนาวา


วัดสุวรรณารามราชวรวิหาร

จุดเด่น: เป็นวัดเก่าแก่ในฝั่งธนบุรี มีจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงาม ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องความเจริญก้าวหน้าในชีวิต และความร่มเย็นเป็นสุข

การเดินทาง: ท่าเรือวัดสุวรรณาราม


วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร

จุดเด่น: เป็นวัดที่สวยงามและเงียบสงบ มีพระพุทธเทวราชปฏิมากร ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องโชคลาภ อำนาจบารมี และความเจริญรุ่งเรือง

การเดินทาง: ท่าเรือเทเวศร์ (เดินต่อเล็กน้อย) หรือท่าเรือวัดเทวราชกุญชร


ข้อแนะนำสำหรับทริปไหว้พระ 9 วัดริมน้ำ:

วางแผนการเดินทาง: การเดินทางด้วยเรือด่วนเจ้าพระยาเป็นวิธีที่สะดวกที่สุด ควรตรวจสอบเส้นทางและตารางเดินเรือล่วงหน้า

แต่งกายสุภาพ: ควรแต่งกายสุภาพเรียบร้อยเมื่อเข้าวัด

เตรียมอุปกรณ์กันแดด/ฝน: เนื่องจากเป็นการเดินทางกลางแจ้งและขึ้นลงเรือบ่อยครั้ง

เผื่อเวลา: การเดินทางไป 9 วัดอาจใช้เวลาเกือบทั้งวัน ควรเผื่อเวลาให้เพียงพอ

ขอให้คุณเดินทางโดยสวัสดิภาพและได้รับพรตามที่ปรารถนาค่ะ!

10
เที่ยววัด แก้ชงที่ไหน 5 ศาลเจ้า แก้งชง ไหว้พระวัดไหน เสริมดวง

การแก้ชงและการเสริมดวงเป็นความเชื่อที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงตรุษจีนหรือเมื่อเข้าสู่ปีนักษัตรใหม่ หากคุณกำลังมองหาสถานที่สำหรับแก้ชงและไหว้พระเสริมดวง นี่คือ 5 ศาลเจ้า/วัดยอดนิยมที่ขึ้นชื่อเรื่องนี้ค่ะ

5 ศาลเจ้า/วัด สำหรับแก้ชง และเสริมดวง

วัดมังกรกมลาวาส (วัดเล่งเน่ยยี่) เยาวราช

จุดเด่น: เป็นวัดจีนแต้จิ๋วที่เก่าแก่และสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยเชื้อสายจีนในการทำบุญ แก้ชง และไหว้พระขอพรเพื่อเสริมสิริมงคล

การแก้ชง: ที่นี่มีขั้นตอนการแก้ชงที่ชัดเจนและครบถ้วนตามธรรมเนียมจีน มีชุดไหว้แก้ชงและเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำ

การเสริมดวง: ผู้คนนิยมมาไหว้เทพเจ้าต่างๆ ภายในวัด เช่น เทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย, เจ้าแม่กวนอิม, เทพเจ้ากวนอู เพื่อความเป็นสิริมงคล ความเจริญรุ่งเรือง และความคุ้มครอง


วัดทิพยวารีวิหาร (วัดกัมโล่วยี่) วรจักร

จุดเด่น: วัดจีนนิกายมหายานที่สร้างขึ้นในสมัยธนบุรี มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ "บ่อน้ำทิพย์" ซึ่งเชื่อกันว่าจะนำโชคลาภมาให้

การแก้ชง: เป็นอีกหนึ่งวัดที่ได้รับความนิยมในการมาแก้ชง บรรยากาศเงียบสงบกว่าวัดเล่งเน่ยยี่เล็กน้อย

การเสริมดวง: ไหว้เทพเจ้าอารักษ์, เทพมังกรเขียว, องค์เจ้าแม่กวนอิม และรับน้ำจากบ่อน้ำทิพย์เพื่อเสริมสิริมงคล


ศาลเจ้าพ่อเสือ (เสาชิงช้า)

จุดเด่น: ศาลเจ้าเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงด้านความศักดิ์สิทธิ์ เชื่อกันว่าหากมาขอพรเรื่องการงาน การเงิน หรือการขจัดอุปสรรคจะประสบความสำเร็จ

การแก้ชง: เป็นอีกหนึ่งสถานที่ยอดนิยมในการแก้ชง โดยเฉพาะการบูชาเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ

การเสริมดวง: ไหว้เทพเจ้าต่างๆ ภายในศาล โดยเฉพาะองค์รูปปั้นเสือ ซึ่งเชื่อว่าช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายและเสริมบารมี


วัดโพธิ์แมนคุณาราม (วัดโพธิ์แมน) สาธุประดิษฐ์

จุดเด่น: วัดจีนในนิกายมหายานฝ่ายอนัมนิกาย (เวียดนาม) มีสถาปัตยกรรมที่งดงามผสมผสานศิลปะจีน ไทย และทิเบต

การแก้ชง: เป็นที่รู้จักในการทำพิธีสะเดาะเคราะห์ แก้ชง และต่ออายุ โดยมีพระจีนเป็นผู้ประกอบพิธี

การเสริมดวง: มาทำบุญ ไหว้พระ และขอพรเทพเจ้าต่างๆ ภายในวัด เพื่อความเป็นสิริมงคล ความสุข ความเจริญ


ศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ (อ่างศิลา ชลบุรี)

จุดเด่น: แม้จะไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ แต่เป็นศาลเจ้าที่ได้รับความนิยมอย่างมากและเดินทางไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มีสถาปัตยกรรมจีนที่ยิ่งใหญ่อลังการและงดงาม มีเทพเจ้าหลายองค์ให้สักการะ

การแก้ชง: เป็นสถานที่ที่ผู้คนนิยมมาแก้ชงและทำบุญสะเดาะเคราะห์อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี

การเสริมดวง: ไหว้เทพเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ (นาจา), องค์เจ้าแม่กวนอิม, เทพเจ้าแห่งโชคลาภ และเทพเจ้าอื่นๆ เพื่อขอพรด้านโชคลาภ การงาน สุขภาพ และความสำเร็จ


ไหว้พระวัดไหนเสริมดวงเพิ่มเติม:

นอกจากศาลเจ้าและวัดจีนข้างต้นแล้ว ยังมีวัดไทยอีกหลายแห่งที่ผู้คนนิยมไปไหว้พระขอพรเพื่อเสริมดวงด้านต่างๆ:

วัดพระแก้ว (วัดพระศรีรัตนศาสดาราม): เสริมดวงด้านความเป็นสิริมงคลสูงสุดของประเทศ

วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร: เสริมดวงด้านชัยชนะ อุปสรรคแพ้พ่าย

วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร: เสริมดวงด้านชื่อเสียงโด่งดัง

วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร: เสริมดวงด้านการเดินทางปลอดภัย มีมิตรที่ดี

วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร: เสริมดวงด้านวิสัยทัศน์กว้างไกล มีเสน่ห์แก่คนทั่วไป

วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร: เสริมดวงด้านชีวิตรุ่งโรจน์ทุกวันคืน

การแก้ชงและเสริมดวงเป็นความเชื่อส่วนบุคคลที่ช่วยสร้างขวัญกำลังใจค่ะ ขอให้คุณโชคดีและอิ่มบุญจากการไปไหว้พระนะคะ!

11
จัดฟันบางนา: โรคฟันผุในเด็ก มีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง

โรคฟันผุ เป็นโรคที่พบได้บ่อยประมาณ 80% ของคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กที่ชอบกินของหวานหรือน้ำตาลและไม่ได้แปรงฟันให้สะอาด ซึ่งโรคฟันผุนั้น เป็นปัญหาของใครหลายๆคนที่มักจะเจอบ่อยในกลุ่มผู้ที่ทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ดีหรือไม่สะอาด หรือเกิดจากเชื้อโรคที่พบได้ตามปกติในช่องปากทำการย่อยสลายอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล เกิดเป็นกรดซึ่งทำให้เกิดการทำลายโครงสร้างของฟัน

หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ทำการรักษา จะลุกลามเพื่มขึ้น จนทำให้ฟันแตกเป็นรู เป็นช่อง และถ้าลุกลามมากขึ้นอีก จะก่อให้เกิดความเจ็บปวด หรือฟันเป็นหนอง และอาจต้องถอนฟันนั้นในที่สุด การที่เราสูญเสียฟันธรรมชาติไป ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นส่งผลกระทบในเรื่องของบุคลิกภาพ ทำให้ไม่มั่นใจหรืออุปสรรคในการรับประทานอาหาร ทำให้ไม่สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ตามปกติ ซึ่งการที่เราบดเคี้ยวอาหารได้ไม่ดีนั้น อาจจะส่งผลต่อสุขภาพร่างกายได้ ยกตัวอย่างเช่น อาจจะส่งผลต่อระบบย่อยอาหาร ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักมากยิ่งขึ้น เป็นต้น นอกจากนี้ยังส่งผลต่อร่างกายในด้านอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งเราสามารถป้องกันได้ด้วยการทำความสะอาดช่องปากและฟัน รักษาสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อให้ไม่ต้องเกิดการสูญเสียฟันธรรมชาติไป สำหรับวันนี้ทาง คลินิกเราจะมาพูดเรื่องของโรคฟันผุในเด็กที่อาจจะส่งผลต่อสุขภาพของร่างกายได้

เมื่อพบว่าบุตรหลานของท่านมีอาการปวดฟัน นั้นคือสัญญาณที่บ่งบอกว่ารอยผุมีขนาดใหญ่และลุกลามไปมากแล้ว และควรได้รับการรักษาหรือรับการตรวจสุขภาพช่องปากและฟันอย่างละเอียด ซึ่งอาการปวดฟันอาจจะมีตั้งแต่ปวดน้อยไปจนถึงปวดมาก จนเด็กไม่สามารถใช้กัดหรือบดเคี้ยวอาหารได้เป็นปกติ เมื่อเด็กเริ่มมีอาการปวดฟันมากขึ้นจะทำให้ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเด็กด้วยเช่นเดียวกัน

เนื่องจากเด็กจะมีความอยากอาหารน้อยลงหรือเลือกกินมากขึ้น ส่งผลให้เด็กขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกายด้วย และเมื่อเด็กปวดฟันมากจนนอนไม่หลับก็จะกระทบต่อการหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโต ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อพัฒนาการทางร่างกายของเด็กได้ นอกจากนี้ ในวัยเด็กอาจจะมีปัญหาฟันผุลุกลามไปมาก สามารถพบการติดเชื้อและเป็นหนองลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียงได้ เช่น แก้ม ดวงตา และสมอง หรืออาจทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ จนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียว และไม่ใช่แค่การส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของเด็กเพียงอย่างเดียว โรคฟันผุยังทำให้เด็กเกิดปัญหาทางด้านจิตใจและอารมณ์ด้วย เพราะการมีฟันผุทำให้เด็กขาดความมั่นใจในการพูด อาจจะมีการออกเสียงผิดได้ เนื่องจากฟันมีการเปลี่ยนสีหรือมีรูปร่างที่ผิดปกติ หรือการที่เด็กต้องถอนฟันน้ำนมออกก่อนที่ฟันแท้ขึ้นก็ส่งผลต่อฟันที่กำลังงอกใหม่ให้มีการล้มเอียงส่งผลเสียต่อสุขภาพช่องปากในระยะยาวได้


เพราะฉะนั้น พ่อแม่ผู้ปกครอง ควรที่จะดูแลสุขภาพช่องปากและฟันของบุตรหลานของท่านให้มาก เพื่อลดความเสี่ยงของปัญหาฟันผุ และอาจจะกระทบต่อสุขภาพร่างกายได้  แต่ในผู้ใหญ่ก็มีโอกาสเสี่ยงต่อฟันผุได้เช่นเดียวกัน จากอาการปากแห้งเนื่องจากไม่ค่อยมีน้ำลายได้เช่นกัน ซึ่งอาการปากแห้งนั้นก็มีสาเหตุมาจากอาการป่วยหรือมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน การใช้ยาปฏิชีวนะ ยาแก้แพ้ ยาแก้โรคซึมเศร้า การรักษาด้วยการฉายแสงหรือจากการใช้เคมีบำบัด และการสูบบุหรี่ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดทั้งฟันผุและโรคเหงือกอักเสบ เป็นต้น

ถึงแม้ว่าการเกิดฟันผุ จะเกิดขึ้นได้ง่ายกับเด็ก แต่ก็สามารถป้องกันหรือลดความเสี่ยงที่ทำให้ฟันผุได้ด้วยหลายวิธี ทั้งการเลือกแปรงสีฟันที่เหมาะสมกับเด็ก การเลือกยาสีฟัน การปลูกฝังให้เด็กแปรงฟันอย่างถูกวิธี และไปพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจฟันเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง และเมื่อทันตแพทย์ตรวจพบรอยผุขนาดเล็ก ก็จะทำการรักษาได้ไม่ยุ่งยาก หากรอจนฟันผุลุกลามหรือเด็กมีอาการปวดฟันแล้วจึงค่อยไปพบทันตแพทย์ ก็อาจสายเกินไปที่จะรักษาฟันซี่นั้นไว้ได้ ดังนั้นพ่อแม่ผู้ปกครอง จะต้องคอยปลูกฝังในเรื่องอขงการดูแลรักษาความสะอาดสุขภาพช่องปากและฟันของบุตรหลานของท่านตั้งแต่เด็กๆ เพื่อให้เด็กๆได้ดูแลรักษาความสะอาดอย่างถูกวิธี เพื่อสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี


อย่างไรก็ตาม ทางคลินิกเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก คอยให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาสุขภาพฟันของเด็กตั้งแต่เนิ่นๆ ทั้งนี้ หากลูกน้อยมีปัญหาสุขภาพฟัน ทางคลินิกเราก็มีบริการจัดฟันในเด็ก ที่สามารถช่วยให้บุตรหลานของท่านมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีได้ จึงทำให้มั่นใจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน



12
จัดฟันบางนา: อร่อยดีและมีประโยชน์ รวมอาหารบำรุงฟัน แข็งแรงด้วยการกิน

เชื่อว่าหลายๆท่านอาจจะทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่า “แคลเซียม” มีส่วนช่วยอย่างมากในการบำรุงกระดูกและฟัน ให้มีสุขภาพที่ดีและแข็งแรง แต่หลายๆท่านอาจจะยังไม่ทราบว่า แคลเซียมนั้นจะมีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ คือส่งแร่ธาตุกลับเข้าสู่กระดูกและฟันได้อย่างเต็มที่นั้น ต้องรับประทานคู่กับอาหารที่มีฟอสเฟส หรือ ฟอสฟอรัส

เนื่องจากว่า ฟอสฟอรัส จะทำงานร่วมกับแคลเซียมในการทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของกระดูกและฟัน แถมยังกระตุ้นระบบประสาทได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

ซึ่งในวันนี้จะขอมาแนะนำอาหารที่มีทั้งแคลเซียมและฟอสฟอรัส เพื่อให้ท่านผู้อ่านสามารถรับประทานได้อย่างถูกต้องเพื่อสุขภาพฟัน และ กระดูกที่แข็งแรงคงทนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


อาหารที่มี “แคลเซียม” และ “ฟอสฟอรัส” สูง

– นมหรือผลิตภัณฑ์จากนม

ต้องขอบอกเลยว่า นม เป็นหนึ่งในอาหารอันดับต้นๆที่เต็มไปด้วย แคลเซียม และ ฟอสฟอรัส ซึ่งท่านสามารถรับประทานได้ทั้งนมจืด นมพร่องมันเนย นมข้น นมผง นมเปรี้ยว โยเกิร์ต ไอศกรีมนม ชีส ช็อกโกแลต เนยแข็ง เป็นต้น

– ถั่วต่างๆ

เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับท่านที่มีอาการแพ้นมวัว สามารถทดแทนได้โดยการรับประทาน เต้าหู้ เต้าฮวย กระยาสารท และอาหารที่ทำจากถั่วทั้งหมด

– ธัญพืช

หลายๆท่านยังอาจจะสงสัยว่าธัญพืชนั้นมีอะไรบ้าง ขอแนะนำดังต่อไปนี้ เมล็ดพืชต่างๆ เช่น เมล็ดแตงโม เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง มะม่วงหิมพานต์ อัลมอลด์ ข้าวกล้อง ข้าวโอ้ต ลูกเดือย งาดำ เป็นต้น

– เนื้อสัตว์

สำหรับเนื้อสัตว์ที่กล่าวถึงนี้ เป็นเนื้อสัตว์ที่สามารถรับประทานได้ทั้งกระดูก เช่น กุ้งแห้ง ปลากรอบ ปลาเล็กปลาน้อย ครีบปลา เป็นต้น


อาหารที่ “ทำร้ายสุขภาพฟัน” ควรหลีกเลี่ยง

– ลูกอม

ลูกอมโดยส่วนใหญ่แล้วจะมีความแข็ง จึงทำให้ต้องอมไว้ในปากเป็นเวลานานๆ ซึ่งส่วนประกอบหลักของลูกอมนั้นจะเต็มไปด้วยน้ำตาล หากว่าเราทำการอมเป็นระยะเวลานานๆก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้น้ำตาลเข้าไปเกาะสะสมที่บริเวณฟันและเหงือกอย่างแน่นหนา และต้องใช้เวลานานกว่าจะย่อยสลายได้ ซึ่งก็ได้สร้างความเสียหายให้เหงือกและฟันเป็นอย่างมากไปแล้วนั่นเอง

– เครื่องดื่มที่เป็นกรด

ต้องขอบอกนิดหนึ่งว่าน้ำผลไม้บางชนิด ให้ประโยชน์ต่อร่างกายหากรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ เนื่องจากว่า น้ำผลไม้ น้ำเกลือแร่ รวมถึงน้ำอัดลม โดยมากแล้วจะมีน้ำตาลและกรด ซึ่งอย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ทั้งน้ำตาลและกรด สามารถทำร้ายฟัน และเป็นต้นเหตุสำคัญของฟันผุได้ หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยง แต่หากว่าจำเป็นที่จะต้องรับประทานจริงๆ หลังรับประทานเสร็จแนะนำว่าควรบ้วนน้ำล้างปากทันที

– ขนมเค้ก

ขนมหวานต่างๆส่วนใหญ่แล้วจะมีส่วนผสมของน้ำตาลเป็นหลัก ซึ่งขนมหวานเหล่านี้จะมีความเหนียว และสามารถเกาะติดแน่นบนผิวฟันได้ง่าย เกิดเป็นคราบสะสมและกัดกร่อนฟันของท่านได้ และอาจจะส่งผลทำให้น้ำตาลสามารถเข้าไปตามเหงือกจนสามารถทำให้เกิดเหงือกอักเสบได้ ทางที่ดีควรแปรงฟันให้สะอาดทุกครั้งหลังจากรับประทานขนมหวานเหล่านี้

– แป้ง

ต้องถือว่าเป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงยากมากๆสำหรับอาหารที่มีส่วนประกอบหลักคือแป้ง เพราะแป้งนั้นมีอยู่ใน ข้าว พาสต้า หรือแม้แต่ในมันฝรั่งก็เช่นกัน เนื่องจากว่าสารอาหารเหล่านี้สามารถเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้ ซึ่งก็อย่างที่ทราบกันดีแล้วว่า น้ำตาล คืออันตรายอย่างแท้จริง

– น้ำแข็ง

น้ำแข็ง ถือว่าเป็นหนึ่งในของแข็งที่มีอันตรายต่อฟัน และเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวเอามากๆ ในขณะที่ท่านเคี้ยวน้ำแข็งสามารถทำลายเคลือบฟันของท่าน ทำให้ไม่มีอะไรปกป้องเนื้อฟันของท่านได้ ซึ่งเมื่อเนื้อฟันไม่มีเคลือบฟันก็จะทำให้เชื้อแบคทีเรียต่างๆเข้าไปกัดกินได้ง่ายส่งผลให้ฟันผุนั่นเอง

– ถั่วเนื้อแข็ง

การเคี้ยวถั่วที่มีเนื้อแข็งอาจจะทำให้เคลือบฟันของท่านถูกทำลาย และยังไม่พอเท่านั้นอาจจะส่งผลให้ท่านที่ใส่ฟันปลอมเกิดการแตกหักได้ง่าย แต่ก็ต้องบอกเลยว่าถั่วก็ถือว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายที่ควรรับประทาน แต่แนะนำว่าให้เลือกรับประทานถั่วขนาดเล็กลง ก็สามารถได้รับประโยชน์เท่าถั่วเปลือกแข็งเม็ดใหญ่ไม่ต่างกัน

ทั้งหมดนี้ก็คือ อาหารที่ดี และ อันตรายต่อฟัน การที่ท่านจะมีสุขภาพฟันที่ดี หรือสุขภาพร่างกายที่ดีสิ่งหนึ่งที่ต้องทำเป็นอย่างยิ่ง คือ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทาน เพียงเท่านี้ท่านก็จะมีสุขภาพร่างกาย และสุขภาพช่องปากที่แข็งแรงตามมานั่นเอง

13
เทคนิคการเลือกท่อเฟล็กซ์ ท่อลมร้อนสำหรับงานระบบระบายอากาศในโรงงานอุตสาหกรรม

ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือกท่อเฟล็กซ์ และแนวทางการเลือกท่อเฟล็กซ์ให้เหมาะสมกับงานแต่ละประเภท มีอะไรบ้าง เลือกยังไงให้คุ้มค่า ติดตามกันได้เลย

ต้องขออธิบายก่อนว่า ท่อเฟล็กซ์เป็นท่อลมชนิดยืดหยุ่นที่ใช้งานได้หลากหลาย นิยมใช้ในงานระบบระบายอากาศและระบบปรับอากาศ ทั้งในอาคารและโรงงานอุตสาหกรรม ท่อเฟล็กซ์มีข้อดีหลายประการ เช่น ติดตั้งง่าย น้ำหนักเบา ทนทานต่อแรงดึงและแรงกดได้ดี รวมถึงป้องกันการรั่วไหล

การเลือกท่อเฟล็กซ์ให้เหมาะสมกับงานระบบระบายอากาศในโรงงานอุตสาหกรรมนั้น มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้ระบบระบายอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาต่างๆ เช่น อากาศรั่วไหล อากาศไม่สะอาด หรือการชำรุดเสียหายของท่อเฟล็กซ์

เลือกท่อเฟล็กซ์ยังไง ให้คุ้มค่าที่สุดสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม

การเลือกท่อเฟล็กซ์ที่เหมาะสมกับงานจะช่วยให้ระบบระบายอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาต่างๆ เช่น อากาศรั่วไหล อากาศไม่สะอาด หรือการชำรุดเสียหายของท่อเฟล็กซ์นอกจากนี้ การเลือกท่อเฟล็กซ์ให้คุ้มค่าที่สุดสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมนั้น จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เพิ่มเติม ซึ่งเราจะกล่าวให้คุณได้ทราบดังนี้

    ประเภทของอากาศที่ต้องการระบาย
    เนื่องจากแต่ละโรงงานอุตสาหกรรมนั้นมีอุณหภูมิ ความชื้น และความสะอาดที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเลือกใช้ท่อเฟล็กซ์ที่มีวัสดุและคุณสมบัติที่เหมาะสม เราขอยกตัวอย่างเช่น
        โรงงานอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร จำเป็นต้องใช้ท่อเฟล็กซ์ที่ทนทานต่อความชื้นและสารเคมี เพื่อป้องกันการปนเปื้อนอาหาร
        โรงงานอุตสาหกรรมผลิตสารเคมี จำเป็นต้องใช้ท่อเฟล็กซ์ที่ทนทานต่ออุณหภูมิสูงและสารเคมีที่เป็นอันตราย เพื่อความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน
        โรงงานอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้า จำเป็นต้องใช้ท่อเฟล็กซ์ที่ทนทานต่ออุณหภูมิสูงและแรงดันสูง เพื่อประสิทธิภาพของระบบระบายอากาศ เป็นต้น

    กล่าวโดยสรุปแล้ว การเลือกท่อเฟล็กซ์ให้เหมาะสมกับประเภทของอากาศที่ต้องการระบาย จะช่วยให้ระบบระบายอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาต่างๆ เช่น อากาศรั่วไหล อากาศไม่สะอาด หรือเกิดการปนเปื้อนของสารเคมี

         อุณหภูมิของอากาศที่ต้องการระบาย
    เนื่องจากว่าท่อเฟล็กซ์แต่ละประเภทจะมีอุณหภูมิการใช้งานที่แตกต่างกัน ท่อเฟล็กซ์บางประเภทอาจทนอุณหภูมิได้สูงถึง 100 องศาเซลเซียส ในขณะที่ท่อเฟล็กซ์บางประเภทอาจทนอุณหภูมิได้เพียง 80 องศาเซลเซียส หากเลือกท่อเฟล็กซ์ที่มีอุณหภูมิการใช้งานต่ำกว่าอุณหภูมิของอากาศที่ต้องการระบาย อาจทำให้ท่อเฟล็กซ์เกิดการชำรุดเสียหายได้ เช่น เกิดการแตกร้าว บวม หรือหดตัว ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบระบายอากาศและความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน

    ขอยกตัวอย่างเช่น โรงงานอุตสาหกรรมผลิตอาหารที่มีกระบวนการผลิตที่มีอุณหภูมิสูง จำเป็นต้องใช้ท่อเฟล็กซ์ที่ทนอุณหภูมิสูงได้ เพื่อไม่ให้ท่อเฟล็กซ์เกิดการชำรุดเสียหายจากความร้อน เป็นต้น

         แรงดันของอากาศที่ต้องการระบาย
    แรงดันของอากาศที่ต้องการระบาย เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องพิจารณาในการเลือกท่อเฟล็กซ์ เนื่องจากว่าท่อเฟล็กซ์แต่ละประเภทจะมีแรงดันใช้งานที่แตกต่างกัน ท่อเฟล็กซ์บางประเภทอาจทนแรงดันได้สูงถึง 100 พาสคัล ในขณะที่ท่อเฟล็กซ์บางประเภทอาจทนแรงดันได้เพียง 50 พาสคัล หากเลือกท่อเฟล็กซ์ที่มีแรงดันการใช้งานต่ำกว่าแรงดันของอากาศที่ต้องการระบาย อาจทำให้ท่อเฟล็กซ์เกิดการชำรุดเสียหายได้ เช่น เกิดการแตกร้าว บวม หรือหดตัว ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบระบายอากาศและความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน

หากยังไม่ค่อยเห็นภาพ เราขอยกตัวอย่างเช่น

        โรงงานอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าที่มีกระบวนการผลิตที่มีแรงดันสูง จำเป็นต้องใช้ท่อเฟล็กซ์ที่ทนแรงดันสูงได้ เพื่อไม่ให้ท่อเฟล็กซ์เกิดการชำรุดเสียหายจากแรงดัน

        โรงงานอุตสาหกรรมผลิตอาหารที่มีกระบวนการผลิตที่มีอุณหภูมิและแรงดันสูง จำเป็นต้องใช้ท่อเฟล็กซ์ที่ทนอุณหภูมิและแรงดันสูงได้ เพื่อประสิทธิภาพของระบบระบายอากาศ

นอกจากนี้ แรงดันของอากาศยังส่งผลต่อการเลือกขนาดของท่อเฟล็กซ์อีกด้วย โดยท่อเฟล็กซ์ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่าจะสามารถทนแรงดันได้มากกว่าท่อเฟล็กซ์ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า ดังนั้นจึงควรเลือกขนาดของท่อเฟล็กซ์ให้เหมาะสมกับแรงดันของอากาศที่ต้องการระบายด้วย

         ระยะทางที่ต้องการส่งอากาศ
    นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่คุณอย่ามองข้ามเด็ดขาด เนื่องจากท่อเฟล็กซ์แต่ละประเภทจะมีอัตราการสูญเสียแรงดันที่แตกต่างกัน ท่อเฟล็กซ์บางประเภทอาจมีอัตราการสูญเสียแรงดันต่ำ ในขณะที่ท่อเฟล็กซ์บางประเภทอาจมีอัตราการสูญเสียแรงดันสูง ทั้งนี้หากเลือกท่อเฟล็กซ์ที่มีอัตราการสูญเสียแรงดันสูง อาจทำให้ระบบระบายอากาศทำงานไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากต้องใช้พัดลมที่มีกำลังสูงเพื่อส่งอากาศไปยังระยะทางที่ต้องการ ตัวอย่างเช่น

        โรงงานอุตสาหกรรมที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ จำเป็นต้องใช้ท่อเฟล็กซ์ที่มีอัตราการสูญเสียแรงดันต่ำ เพื่อไม่ให้สูญเสียแรงดันอากาศมากเกินไประหว่างการส่งอากาศไปยังพื้นที่ต่างๆ
        โรงงานอุตสาหกรรมที่มีพื้นที่จำกัด ไม่จำเป็นต้องใช้ท่อเฟล็กซ์ที่มีอัตราการสูญเสียแรงดันต่ำ เนื่องจากระยะทางที่ต้องการส่งอากาศไม่ไกลมาก

โดยสรุปแล้ว การเลือกท่อเฟล็กซ์ให้เหมาะสมกับระยะทางที่ต้องการส่งอากาศ จะช่วยให้ระบบระบายอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน นอกจากนี้แล้ว ระยะทางที่ต้องการส่งอากาศยังส่งผลต่อการเลือกขนาดของท่อเฟล็กซ์ โดยท่อเฟล็กซ์ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่าจะสามารถส่งอากาศได้ไกลกว่าท่อเฟล็กซ์ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า ดังนั้น จึงควรเลือกขนาดของท่อเฟล็กซ์ให้เหมาะสมกับระยะทางที่ต้องการส่งอากาศด้วยเช่นกัน

     สภาพแวดล้อมของโรงงานอุตสาหกรรม

    ต้องบอกเลยว่าท่อเฟล็กซ์แต่ละประเภทจะมีวัสดุและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ซึ่งจำเป็นมาก ๆ ที่จะต้องเลือกท่อเฟล็กซ์ที่มีวัสดุและคุณสมบัติที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของโรงงานอุตสาหกรรม เราขอยกตัวอย่างสภาพแวดล้อมของโรงงานอุตสาหกรรมที่ควรพิจารณาในการเลือกท่อเฟล็กซ์ ได้แก่
        อุณหภูมิ โรงงานอุตสาหกรรมที่มีกระบวนการผลิตที่มีอุณหภูมิสูง จำเป็นต้องใช้ท่อเฟล็กซ์ที่ทนอุณหภูมิสูงได้
        ความชื้น โรงงานอุตสาหกรรมที่มีสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง จำเป็นต้องใช้ท่อเฟล็กซ์ที่ทนความชื้นได้
        สารเคมี โรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้สารเคมี จำเป็นต้องใช้ท่อเฟล็กซ์ที่ทนสารเคมีได้
        สิ่งสกปรก โรงงานอุตสาหกรรมที่มีสภาพแวดล้อมที่มีสิ่งสกปรกสูง จำเป็นต้องใช้ท่อเฟล็กซ์ที่ทนสิ่งสกปรกได้
        ฝุ่นละออง โรงงานอุตสาหกรรมที่มีสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นละอองสูง จำเป็นต้องใช้ท่อเฟล็กซ์ที่ทนฝุ่นละอองได้
        แรงดัน โรงงานอุตสาหกรรมที่มีกระบวนการผลิตที่มีแรงดันสูง จำเป็นต้องใช้ท่อเฟล็กซ์ที่ทนแรงดันสูงได้
        ความยืดหยุ่น โรงงานอุตสาหกรรมที่มีพื้นที่แคบหรือมีสิ่งกีดขวาง จำเป็นต้องใช้ท่อเฟล็กซ์ที่มีความยืดหยุ่นสูง

โดยสรุปแล้ว การเลือกท่อเฟล็กซ์ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของโรงงานอุตสาหกรรม จะช่วยให้ระบบระบายอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาต่างๆ เช่น อากาศรั่วไหล อากาศไม่สะอาด หรือเกิดการปนเปื้อนของสารเคมี

14
บริหารจัดการอาคาร: แอร์สกปรก ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร

อากาศในเมืองไทยของเราต้องบอกว่า มีอากาศที่ร้อนอบอ้าวมากซึ่งหลายบ้านส่วนใหญ่นิยมติดตั้งเครื่องปรับอากาศเพื่อคลายร้อนเพราะให้ความรู้สึกเย็นสบายท่ามกลางอากาศที่ร้อนแต่เราก็ต้องยอมแลกกับค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปไม่ว่าจะเป็นค่าติดตั้งเครื่องปรับอากาศค่าไฟที่ต้องเพิ่มมากขึ้นอย่างมหาศาล แต่หากเราติดเครื่องปรับอากาศเพื่ออำนวยความสะดวกก็ต้องมั่นใจว่าเครื่องปรับอากาศของเรานั้น จะมีอายุการใช้งานที่นานและมีการใช้งานที่มีประสิทธิภาพ

ซึ่งหลายบ้านต้องติดตั้งเครื่องปรับอากาศภายในบ้านเครื่องใหม่และอาจจะสงสัยว่าช่วงที่ช่างที่มาติดตั้งเครื่องปรับอากาศที่บ้านของเรานั้นทำงานเรียบร้อยหรือไม่หรือติดตั้งเครื่องปรับอากาศในตำแหน่งที่ถูกต้องหรือเปล่าเพราะปัจจัยที่กล่าวมานั้น ส่งผลต่อการทำงานของเครื่องปรับอากาศภายในบ้านของเรา
เพราะถ้าหากเราจะต้องเสียงเงินเพื่อติดตั้งเครื่องปรับอากาศใหม่แล้วก็ต้องมั่นใจว่าเครื่องปรับอากาศที่เราติดตั้งไปแล้ว จะไม่เกิดปัญหาในภายหลัง

แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า เครื่องปรับอากาศที่ติดตั้งอยู่ภายในบ้านของเรานั้นมีระบบแอร์ที่ถูกต้องและถูกติดตั้งในตำแหน่งที่เหมาะสมเพื่อให้เครื่องปรับอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดค่าใช้จ่ายในเรื่องของค่าไฟฟ้าแต่ที่สำคัญที่สุดของการใช้งานเครื่องปรับอากาศก็คือ เราจะต้องล้างทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศของเราตามเวลาที่กำหนด เช่น อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศของเราและการที่แอร์มีความสะอาด โดยที่ไม่มีการสะสมของฝุ่นก็จะช่วยให้แอร์ทำงานไม่หนักและประหยัดค่าใช้จ่าย

ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ทั้งยังช่วยทำให้คนในบ้านมีสุขภาพที่ดีไม่เสี่ยงต่อการเกิดโรคปอดอักเสบจากการใช้งานเครื่องปรับอากาศด้วยดังนั้น วันนี้เราจะมาพูดถึงผลเสียต่อสุขภาพที่มาจากการใช้งานแอร์ที่มีความสกปรกโดยขาดการล้างทำความสะอาด

หลายคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า การที่เราไม่ล้างทำความะสอาดแอร์นั้นจะส่งผลทำให้เรามีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
เนื่องจากห้องที่มีแอร์หรือเครื่องปรับอากาศนั้น จะต้องมีการปิดประตูหน้าต่างสนิทด้วยเหตุนี้เองทำให้เชื้อโรคสามารถเจริญเติบโตได้ดี และหากอยู่ในห้องแอร์ที่เปิดอุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาอากาศภายในห้องก็จะแห้งทำให้เซลล์ต่างๆ อย่างเซลล์เยื่อบุโพรงจมูกแห้งลงกว่าเดิม

ดังนั้น คนที่อยู่ในห้องแอร์นานๆ จึงอาจจะป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจได้ เช่น หวัด ภูมิแพ้ เป็นต้น

นอกจากนี้ยังส่งผลทำให้เกิดโรคลีเจียนแนร์ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียโดยการสูดหายใจเอาเชื้อที่ปนเปื้อนอยู่ในละอองน้ำเข้าสู่ร่างกายโดยจะมีอาการคือจะมีไข้ขึ้นสูง ไอ หนาวสั่นลักษณะโรคลีเจียนแนร์จะเป็นชนิดแบบรุนแรง จึงมีภาวะปอดอักเสบด้วยทำให้การหายใจล้มเหลวและมีอัตราการเสียชีวิตสูง

รวมไปถึงโรคไข้ปอนเตียก เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียแต่ไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับโรคลีเจียนแนร์ เพราะโรคไข้ปอนเตียกมักจะหายเองภายใน 2-5 วัน
แม้จะไม่ได้รับการรักษา ส่วนลักษณะอาการจะคล้ายกับไข้หวัดใหญ่นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว เราจะยังใช้งานแอร์ที่มีความสกปรกอยู่แบบนี้ทำไมเพื่อให้เราได้ใช้งานแอร์อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
ก็ควรที่จะล้างทำความสะอาดแอร์เป็นประจำตามเวลาที่กำหนดเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาสุขภาพในอนาคต

ดังนั้น การที่เราใช้แอร์ที่มีความสะอาด บำรุงรักษามาเป็นอย่างดีนอกจากจะช่วยในเรื่องสุขภาพของคนในครอบครัวแล้ว ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของแอร์อีกด้วยแถมยังช่วยประหยัดค่าใช่จ่ายภายในบ้านได้อีกเยอะเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม หากคุณอยากที่จะตรวจสอบหรือเช็คระบบแอร์ล้างทำความสะอาดโดยช่างที่มีความเชี่ยวชาญที่การันตีด้วยประสบการณ์การทำงานมาอย่างยาวนานก็สามารถขอรายละเอียดได้ทางเรามีบริการดูแลระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศภายในอาคารระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศเป็นสิ่งจำเป็นมากเพราะนั่นหมายถึงอากาศที่ดีที่เราสูดดมเข้าไป ถ้าหากเรามีระบบเครื่องปรับอากาศที่ไม่สะอาดแล้วอาจจะทำให้เราเสียสุขภาพไปด้วย

15
หมอประจำบ้าน: โรคคุชชิง (Cushing’s syndrome/Hypercortisolism)

โรคคุชชิง (กลุ่มอาการคุชชิง ก็เรียก) เป็นกลุ่มอาการผิดปกติของร่างกายซึ่งเกี่ยวข้องกับภาวะมีกลูโคคอร์ติคอยด์ (glucocorticoid ซึ่งเป็นฮอร์โมนสเตียรอยด์กลุ่มหนึ่ง) มากเกิน เป็นเหตุทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้

สาเหตุ

ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการใช้สารสเตียรอยด์ (กลูโคคอร์ติคอยด์) สังเคราะห์ติดต่อกันนาน ๆ ในบ้านเราพบว่าเกิดจากการใช้สารที่มีสเตียรอยด์ปะปนในรูปของยาชุด ยาหม้อ และยาลูกกลอนที่ผู้ป่วยนิยมซื้อใช้เองโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ นอกจากนี้อาจพบในผู้ป่วยที่จําเป็นต้องใช้ยาสเตียรอยด์ในการบำบัดรักษาโดยแพทย์ เช่น เอสแอลอี โรคปวดข้อรูมาตอยด์ โรคไตเนโฟรติก ผู้ป่วยหลังผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ เป็นต้น

ส่วนน้อยเกิดจากต่อมหมวกไต* สร้างฮอร์โมน กลูโคคอติคอยด์ (ส่วนใหญ่ได้แก่ คอร์ติซอล) มากเกิน ดังที่เรียกว่า ภาวะคอร์ติซอลเกิน (hypercortisolism) ซึ่งอาจมีสาเหตุจากเนื้องอกของอวัยวะที่สร้างฮอร์โมนชนิดนี้ เช่น

    เนื้องอกต่อมหมวกไต (adrenal adenoma) และมะเร็งต่อมหมวกไต (adrenal carcinoma) ซึ่งสร้างฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมามากผิดปกติ
    เนื้องอกต่อมใต้สมอง (pituitary adenoma) ซึ่งสร้างฮอร์โมนเอซีทีเอช (ACTH) กระตุ้นให้ต่อมหมวกไตสร้างคอร์ติซอลมากเกิน
    เนื้องอกอื่น ๆ ที่พบบ่อย คือมะเร็งปอดชนิด small cell lung carcinoma และเนื้องอกคาร์ซิ-นอยด์ (carcinoid tumor ซึ่งพบในทางเดินอาหาร ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดี ต่อมไทมัส รังไข่ อัณฑะ เป็นต้น) เนื้องอกเหล่านี้สามารถสร้างฮอร์โมนเอซีทีเอช กระตุ้นให้ต่อมหมวกไตสร้างคอร์ติซอลมากเกิน

สำหรับเนื้องอกต่อมหมวกไตและต่อมใต้สมองพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 5 เท่า และพบมากในช่วงอายุ 25-40 ปี ส่วนมะเร็งปอดพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ในช่วงวัยกลางคนขึ้นไป

การที่ร่างกายมีสารสเตียรอยด์ (ไม่ว่าในรูปของคอร์ติซอลที่ร่างกายสร้างเอง หรือสารสังเคราะห์ที่รับจากภายนอก) อยู่นาน ๆ ส่งผลให้มีการสะสมไขมันตามร่างกาย (ทำให้อ้วนและมีก้อนไขมันพอก) การสลายตัวของโปรตีนของกล้ามเนื้อ (ทำให้กล้ามเนื้อแขนขาลีบ อ่อนแรง) การสลายตัวของแคลเซียมในกระดูก (ทำให้กระดูกพรุน นิ่วไต) การสร้างกลูโคสที่ตับจากโปรตีนและไขมัน (gluconeogenesis) แล้วปล่อยออกมาในกระแสเลือด (ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เบาหวาน) การยับยั้งการสร้างเนื้อเยื่อพังผืดและคอลลาเจน (ทำให้ผิวบาง หนังลาย ฟกซ้ำง่าย แผลหายยาก) การคั่งของโซเดียมในร่างกาย (ทำให้บวม ความดันโลหิตสูง) เพิ่มการสร้างฮอร์โมนเพศชายหรือแอนโดรเจน (ทำให้สิวขึ้น ขนอ่อนขึ้น ประจำเดือนผิดปกติ) ส่งผลต่อจิตใจและอารมณ์ (ทำให้มีอารมณ์เคลิ้ม วิตกกังวล หรือซึมเศร้า อยากอาหาร) กดภูมิคุ้มกัน (ทำให้ติดเชื้อง่าย) กดการสร้างกระดูกและฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโต (ทำให้เด็กเจริญเติบโตช้า)

*ต่อมหมวกไต (adrenal gland) เป็นต่อมไร้ท่อรูปร่างคล้ายผลองุ่นอยู่ตรงส่วนบนของไต (คล้ายหมวกที่ครอบอยู่เหนือยอดไต) ทั้งสองข้างประกอบด้วย 2 ส่วน คือส่วนแกน (medulla) กับส่วนเปลือก (cortex)

ต่อมหมวกไตส่วนแกน มีหน้าที่สร้างฮอร์โมนอะดรีนาลิน (adrenaline) กับนอร์อะดรีนาลิน (noradrenaline) ซึ่งจะช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต การสร้างฮอร์โมนทั้งสองชนิดจะถูกกระตุ้นโดยสมอง
ส่วนต่อมหมวกไตส่วนเปลือก จะสร้างฮอร์โมนสเตียรอยด์ (steroid) 3 กลุ่ม ได้แก่

1. แอลโดสเตอโรน (aldosterone) มีหน้าที่ควบคุมระดับเกลือแร่ เช่น โพแทสเซียม โซเดียมให้อยู่ในภาวะสมดุล

2. ฮอร์โมนเพศ ได้แก่ ฮอร์โมนเพศชาย (แอนโดรเจน) และฮอร์โมนเพศหญิง (เอสโทรเจน และโพรเจสเทอโรน) ซึ่งส่วนใหญ่จะสร้างที่อัณฑะและรังไข่

3. กลูโคคอร์ติคอยต์ (glucocorticoid) มีอยู่หลายชนิด ที่สำคัญได้แก่ คอร์ติซอล (cortisol) ซึ่งมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ไฮโดรคอร์ติโซน (hydrocortisone) ฮอร์โมนสเตียรอยด์กลุ่มนี้มีหน้าที่ควบคุมเมตาบอลิซึม (กระบวนการแปรรูปอณู) โดยการสังเคราะห์ (anabolism) และแตกตัว (catabolism) ของคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ทำให้ร่างกายเกิดพลังงาน อวัยวะต่าง ๆ ทำหน้าที่ได้ปกติ และช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับความเครียด (เช่น การบาดเจ็บ การเจ็บป่วย การติดเชื้อ การทำงานหนัก ความเครียดทางอารมณ์) ที่เกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ในการต้านการอักเสบและกดภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งมีประโยชน์ต่อการบรรเทาการอักเสบ และควบคุมภาวะภูมิแพ้และปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง การสร้างฮอร์โมนกลุ่มนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนเอซีทีเอช (ACTH/adrenocorticotropic hormone) ซึ่งสร้างโดยต่อมใต้สมอง ทำหน้าที่กระตุ้นให้ต่อมหมวกไตสร้างกลูโคคอร์ติคอยด์ และการสร้างเอซีทีเอชก็อยู่ภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนซีอาร์เอช (CRH/corticotropin-releasing hormone) ซึ่งสร้างโดยสมองส่วนไฮโพทาลามัสอีกต่อหนึ่ง ในขณะเดียวกันคอร์ติซอลก็ทำหน้าที่ในการทำปฏิกิริยาป้อนกลับต่อฮอร์โมนซีอาร์เอชและเอซีทีเอช กล่าวคือ ถ้าร่างกายมีคอร์ติซอลมากเกิน ก็จะไปยับยั้งไม่ให้สร้างฮอร์โมนซีอาร์เอชและเอซีทีเอช ซึ่งจะทำให้ต่อมหมวกไตลดการสร้างคอร์ติซอลลง ปรากฏการณ์ที่พบได้บ่อยก็คือ การที่ผู้ป่วยใช้สารสเตียรอยด์ (กลูโคคอร์ติคอยด์) สังเคราะห์ ได้แก่ เพร็ดนิโซโลน (prednisolone) และเดกซาเมทาโซน (dexamethasone) ซึ่งออกฤทธิ์เป็น 5 และ 40 เท่าของคอร์ติซอลตามลำดับ ติดต่อกันนาน ๆ จะยับยั้งการสร้างฮอร์โมนซีอาร์เอชและเอซีทีเอช ซึ่งมีผลทำให้ต่อมหมวกไตฝ่อ สร้างคอร์ติซอลได้น้อยลง ถ้าหากมีการหยุดใช้สารสเตียรอยด์สังเคราะห์ทันทีทันใด อาจทำให้เกิดภาวะขาดสเตียรอยด์เฉียบพลัน กลายเป็นภาวะต่อมหมวกไตวิกฤติ (adrenal crisis) ได้

อาการ

มักจะค่อย ๆ เกิดขึ้นช้า ๆ เป็นแรมเดือน ในระยะแรกจะพบว่าผู้ป่วยหน้าอูมขึ้น จนหน้ากลมเป็นวงพระจันทร์และออกสีแดงเรื่อ ๆ มีก้อนไขมันเกิดขึ้นที่แอ่งไหปลาร้า 2 ข้างและที่ต้นคอด้านหลัง (อยู่ระหว่างไหล่ทั้ง 2 ข้าง) แลดูเป็นหนอก ซึ่งทางภาษาแพทย์ เรียกว่า อาการหนอกควาย (buffalo’s hump) รูปร่างอ้วน โดยจะอ้วนมากตรงเอว (พุงป่อง) แต่แขนขากลับลีบเล็กลง ผู้ป่วยจะรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย มีความลำบากในการยกต้นแขนขึ้น เดินขึ้นบันได และลุกจากที่นั่ง

ผิวหนังจะออกเป็นลายสีคล้ำ ๆ ที่บริเวณท้อง (ท้องลายคล้ายคนหลังคลอด) บริเวณสะโพก กระเบนเหน็บ ต้นแขนต้นขา ผิวหนังบางและมีจ้ำเขียวพรายย้ำง่ายเวลาถูกกระทบกระแทก

มักมีสิวขึ้นที่หน้า หน้าอก หลัง และมีขนอ่อนขึ้นที่หน้า ลำตัว และแขนขา (ถ้าพบในผู้หญิงทำให้ดูว่าคล้ายมีหนวดขึ้น) กระดูกอาจผุกร่อน มักทำให้มีอาการปวดหลัง (เพราะกระดูกสันหลังผุ) หรือกระดูกแตกหักง่าย

อาจมีความดันโลหิตสูง หรือมีอาการของเบาหวาน

ผู้หญิงอาจมีเสียงแหบห้าว มีขนมากแบบผู้ชาย ประจำเดือนมักจะออกน้อยหรือไม่มาเลย และมีบุตรยาก

ผู้ป่วยอาจมีความรู้สึกอยากอาหาร ไม่มีความรู้สึกทางเพศ อาจมีอารมณ์แปรปรวน วิตกกังวล ซึมเศร้าหรือกลายเป็นโรคจิต

ในรายที่เป็นเนื้องอกต่อมได้สมอง มักมีอาการปวดศีรษะ ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะตอนกลางคืน ตามัว มีน้ำนมไหลผิดธรรมชาติ และอาจมีอาการของภาวะขาดไทรอยด์ร่วมด้วย


ภาวะแทรกซ้อน

อาจมีภาวะแทรกซ้อนเนื่องมาจากความดันโลหิตสูง หรือเบาหวาน เช่น หัวใจวาย อัมพาตครึ่งซีก โรคหัวใจขาดเลือด

อาจมีการติดเชื้อง่ายซึ่งจะพบบ่อยที่บริเวณผิวหนัง (เช่น ฝี พุพองง่าย โรคเชื้อรา) และทางเดินปัสสาวะ หรือเป็นแผลหายยาก

อาจทำให้เป็นแผลเพ็ปติก ต้อกระจก ต้อหินเรื้อรัง กระดูกหักง่าย นิ่วไต หรือเป็นโรคจิต

ถ้าพบในเด็กอาจทำให้ร่างกายเจริญเติบโตช้า

ที่สำคัญผู้ป่วยที่มีสาเหตุจากการใช้สารสเตียรอยด์มากเกิน ถ้าหากหยุดสเตียรอยด์ทันที (steroid withdrawal) หรือขณะเกิดการเจ็บป่วย ก็อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะต่อมหมวกไตวิกฤติ (ดู "ภาวะช็อก") เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ผู้ป่วยมักมีรูปร่างอ้วน พุงป่อง หน้าอูม มีก้อนไขมันขึ้นที่แอ่งไหปลาร้า 2 ข้างและต้นคอด้านหลัง แขนขาลีบ หน้ามีสิวและขนอ่อนขึ้น ท้องลาย ก้นลาย ผิวหนังบาง พบจ้ำเขียวพรายย้ำ ความดันโลหิตสูง

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจระดับคอร์ติซอลในเลือดและปัสสาวะ ซึ่งพบว่าสูงกว่าปกติ ตรวจระดับเอซีทีเอช (ACTH) ซึ่งจะพบว่าต่ำในผู้ป่วยเนื้องอกต่อมหมวกไต และพบว่าสูงในผู้ป่วยเนื้องอกต่อมใต้สมอง และอาจทำการทดสอบที่เรียกว่า “Dexamethasone suppression test”* และอาจจำเป็นต้องทำการถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อค้นหาเนื้องอกต่าง ๆ

นอกจากนี้อาจต้องทำการตรวจหาภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น ตรวจเลือด (พบน้ำตาลสูง ไขมันชนิดแอลดีแอลและไตรกลีเซอไรด์สูง โพแทสเซียมต่ำ) เอกซเรย์ (พบร่องรอยกระดูกหัก หัวใจห้องล่างซ้ายโต นิ่วไต)

* โดยให้สเตียรอยด์สังเคราะห์ได้แก่ เดกซาเมทาโซน แก่ผู้ป่วยตอนกลางคืน (23:00 น.) แล้ววัดระดับคอร์ติซอลในเลือดตอนเช้า (08.00 น.) ถ้าพบว่ามีค่าต่ำลงมาก ก็มักจะไม่ใช่โรคคุซซิง (เนื่องจากสารนี้จะไปกดต่อมใต้สมองและต่อมหมวกไตจนลดการสร้างคอร์ติซอล) แต่ถ้าลดลงบางส่วนก็มักจะเป็นเนื้องอกต่อมใต้สมอง ถ้าไม่ลดก็มักจะเป็นเนื้องอกต่อมหมวกไต


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

ในรายที่มีสาเหตุจากการใช้สเตียรอยด์มากเกิน แพทย์จะยังคงให้ผู้ป่วยกินยาสเตียรอยด์ เช่น เพร็ดนิโซโลน แต่จะหาทางค่อย ๆ ลดขนาดของยาลงทีละน้อย และทำการตรวจวัดระดับคอร์ติซอลในเลือดเป็นระยะ ๆ ซึ่งจะค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นจากเดิมที่มีระดับต่ำ จนกลับสู่ระดับปกติในที่สุด ซึ่งมักจะใช้เวลานานเป็นปี จึงจะหยุดยาสเตียรอยด์

ถ้ามีสาเหตุจากการเป็นเนื้องอกของต่อมหมวกไตหรือต่อมใต้สมอง มักจะต้องรักษาด้วยการผ่าตัด แล้วให้กินยาสเตียรอยด์ทดแทนไปจนตลอดชีวิต เพราะภายหลังการผ่าตัดร่างกายสร้างฮอร์โมนชนิดนี้เองไม่ได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย มีความลำบากในการยกต้นแขนขึ้น เดินขึ้นบันได และลุกจากที่นั่ง มีอาการหน้าอูมขึ้น จนหน้ากลมเป็นวงพระจันทร์และออกสีแดงเรื่อ ๆ มีก้อนไขมันเกิดขึ้นที่แอ่งไหปลาร้า 2 ข้างและที่ต้นคอด้านหลัง (อยู่ระหว่างไหล่ทั้ง 2 ข้าง) หรือมีรูปร่างอ้วน โดยจะอ้วนมากตรงเอว (พุงป่อง) แต่แขนขากลับลีบเล็กลง ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคคุชชิง ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    กินยาแล้วอาการไม่ทุเลา มีอาการมีไข้ ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย หรือมีการติดเชื้อที่บริเวณผิวหนัง (เช่น ฝี พุพองง่าย โรคเชื้อรา) และทางเดินปัสสาวะ หรือเป็นแผลหายยาก
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

หลีกเลี่ยงการซื้อยาสเตียรอยด์ และยาชุด ยาลูกกลอนที่ใส่สเตียรอยด์มาใช้เอง


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มักเกิดจากการใช้สเตียรอยด์มากเกินเป็นเวลานาน ๆ ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ยานี้พร่ำเพรื่อ หรือใช้อย่างผิด ๆ (เช่น การซื้อยาชุด ยาหม้อ หรือยาลูกกลอนที่มียานี้ผสมกินเป็นประจำ) ยกเว้นโรคบางโรคอาจต้องใช้ยานี้รักษา ซึ่งก็ควรจะอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

2. ในรายที่เป็นโรคคุชชิงจากการใช้สเตียรอยด์มากเกิน ระหว่างรอไปพบแพทย์ ห้ามหยุดยาสเตียรอยด์ทันที ควรให้กินสเตียรอยด์ต่อไปจนกว่าแพทย์จะปรับลดขนาดลง มิเช่นนั้นอาจเกิดภาวะขาดสเตียรอยด์อย่างเฉียบพลัน จนเกิดภาวะต่อมหมวกไตวิกฤติ เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

3. โรคนี้ถ้าไม่รักษา อาจมีภาวะแทรกซ้อน เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

4. ในรายที่เกิดจากเนื้องอกชนิดไม่ร้าย การผ่าตัดจะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวเช่นคนปกติได้ แต่จะต้องกินสเตียรอยด์เข้าไปทดแทนในร่างกายตลอดไป ห้ามขาดยาเป็นอันขาด


หน้า: [1] 2 3 ... 61






















































อยากขายของดี
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
ขายสินค้าไม่สต๊อกสินค้า
เริ่มขายของออนไลน์
รับทำ seo ด่วน
smf โพสฟรี
smf ขายของออนไลน์อะไรดี
smf โพสฟรี
แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์ โพสฟรี
โพสฟรีแคปชั่นโพสขายของยังไงให้ปัง
smf แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์
ขายของให้ออร์เดอร์เข้ารัว ๆ
smf โพสต์เรียกลูกค้า
โพสต์เรียกลูกค้าโพสฟรี
smf ขายของออนไลน์ให้ปัง
smf โพสต์ขายของ
smf เขียนโพสขายของโดนๆ
แคปชั่นเปิดร้าน โพสฟรี
smf วิธีโพสขายของให้น่าสนใจ
วิธีเพิ่มยอดขาย โพสฟรี
smf เทคนิคเพิ่มยอดขาย
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
smf เริ่มต้นขายของออนไลน์
ไอ เดีย การขายของออนไลน์
เว็บขายของออนไลน์
เริ่ม ขายของออนไลน์ โพสฟรี
อยากขายของออนไลน์ smf
โพสขายของยังไงให้มีคนซื้อ
smf โพสขายของแบบไหนดี
smf ขายของออนไลน์ที่ไหนดี
เทคนิคการโพสต์ขายของ
smf โพสต์ขายของให้ยอดขายปัง
โพสต์ขายของให้ยอดขายปังโพสฟรี
smf ขายของในกลุ่มซื้อขายสินค้า
ไม่รู้จะขายอะไรดี

เพิ่มยอดขายให้เข้าเป้า
โปรโมทผลักดันยอดขาย
โปรโมทแผนการเพิ่มยอดขายให้ได้ผล
โปรโมทวิธีการวางแผนการเพิ่มยอดขาย
มีลูกค้าเพิ่ม - YouTube
ผลักดันยอดขายโปรโมทฟรี
ประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศเพิ่มยอดขาย
ฝากร้านฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศฟรีใหม่ ๆ เพิ่มยอดขาย
เว็บประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
Post ฟรี
ประกาศขายของฟรี
ประกาศฟรี
โพส SEO
ลงโฆษณาฟรี
โปรโมทเพจร้านค้า
โปรโมทกระตุ้นยอดขาย
โปรโมทฟรีออนไลน์กระตุ้นยอดขาย
โพสกระตุ้นยอดขาย
วิธีกระตุ้นยอดขาย เซลล์
วิธีแก้ปัญหายอดขายตก
เริ่มต้นขายของ
แหล่งรับของมาขายออนไลน์
ขายของออนไลน์อะไรดี
อยากขายของออนไลน์
ยอดขายไม่ดีควรทำอย่างไร
ยอดขายตกเกิดจากอะไร
ทำไมต้องเพิ่มยอดขาย
ขายฟรี
ยอดการขาย คืออะไร
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
โพสฟรีการกระตุ้นยอดขาย
เว็บบอร์ดฟรี
โปรโมทฟรี

กลยุทธ์การหาลูกค้าใหม่
ทํายังไงให้ขายของดี ออนไลน์
วิธีการหาลูกค้าของ sale
ทำ SEO ติด Google
ต้องการขาย
ปล่อยเช่า บ้าน คอนโด ที่ดิน
ขายบ้าน คอนโด ที่ดิน
ประกาศฟรี ไม่มี หมดอายุ
เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ
ฝากร้านฟรี โพ ส ฟรี
ลงประกาศฟรี กรุงเทพ
ลงประกาศฟรี ทั่วไทย
ลงประกาศโฆษณาฟรี
ลงประกาศฟรี 2023
รวมเว็บลงประกาศฟรี
วิธีหาลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
การหาลูกค้าใหม่ รักษาลูกค้าเก่า
ช่องทางการเข้าถึงลูกค้า
เพิ่มฐานลูกค้าใหม่
รวมเว็บลงประกาศฟรี ล่าสุด
รวมเว็บประกาศฟรี
โพสต์ขายของฟรี
ลงโฆษณาสินค้าฟรี
โฆษณาฟรี
ประกาศฟรี
เว็บฟรีไม่จำกัด
ลงประกาศขาย
เว็บฟรียอดนิยม
โพสโฆษณา
ประกาศขายของ
ประกาศหางาน
บริการ แนะนำเว็บ
ลงประกาศ
รวมเว็บประกาศฟรี
รวมเว็บซื้อขาย ใช้งานง่าย
ลงประกาศฟรี ทุกจังหวัด

โพสขายสินค้าตรงกลุ่มเป้าหมาย
โฆษณาเลื่อนประกาศได้
ขายของออนไลน์
แนะนำ 6 วิธีขายของออนไลน์
อยากขายของออนไลน์
เริ่มต้นขายของออนไลน์
ขายของออนไลน์ เริ่มยังไง
ชี้ช่องขายของออนไลน์
การขายของออนไลน์
สร้างเว็บฟรีประกาศ
เว็บบอร์ด โพสต์ฟรี
ลงประกาศ ซื้อ-ขาย ฟรี
ชุมชนคนไอทีขายสินค้า
ลงประกาศฟรีใหม่ๆ 2023
โปรโมทธุรกิจฟรี
ทําไงให้ลูกค้าเข้าร้านเยอะ ๆ
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
เคล็ดลับขายของดี
ค้าขายไม่ดีทำอย่างไรดี
งานโพสโปรโมทงาน
ทํายังไงให้ขายของดี ออนไลน์
รวม SMFขายสินค้า
ประกาศฟรีออนไลน์
ลงประกาศ สินค้า
ลงประกาศฟรี เว็บบอร์ด
เว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
ฟรี เว็บบอร์ด แรงๆ
โปรโมทสินค้าฟรี
แจกฟรี รายชื่อเว็บลงประกาศฟรี
โปรโมท Social
โปรโมท youtube
แจกฟรี รายชื่อเว็บ
แจกฟรีโพสเว็บบอร์ดsmf
เว็บบอร์ดsmfโพสฟรี
รายชื่อเว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
หากลยุทธ์เพิ่มยอดขาย