ตับอักเสบเกิดจากอะไร ระวังยาที่กินประจำอาจทำร้ายตับได้ตับอักเสบเกิดจากอะไร อีกหนึ่งคำถามสุดน่าสนใจที่เราทุกคนควรรู้เอาไว้ในช่วงหน้าร้อน เพราะเมื่อเข้าสู่ฤดูดังกล่าว หลายคนอาจมองว่าความกังวลใจมีแค่เพียงเรื่องแดดแรงหรือโรคฮีทสโตรกเท่านั้น แต่รู้หรือไม่ว่า “ตับอักเสบ” ก็เป็นอีกหนึ่งโรคที่พบได้บ่อยในช่วงนี้ และกำลังกลายเป็นปัญหาสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ทานยาบางชนิดเป็นประจำ หรือมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การกินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ รวมถึงคนที่ชอบใช้ยาสมุนไพรแบบไม่ผ่านการตรวจสอบ
แม้ว่า “ตับ” จะเป็นอวัยวะที่ไม่มีเส้นประสาทรับความเจ็บปวด ทำให้หลายคนไม่รู้เลยว่าตับกำลังมีปัญหา จนกระทั่งอาการลุกลามมากขึ้นเรื่อย ๆ การรู้เท่าทันตั้งแต่เนิ่น ๆ ว่า “ตับอักเสบเกิดจากอะไร” และสังเกตความผิดปกติเล็กน้อยในร่างกายได้ตั้งแต่ระยะแรก จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้คุณดูแลสุขภาพตับไว้ได้อย่างยั่งยืน
บทความนี้ ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส จะพาทุกคนมาทำความเข้าใจ โรคตับอักเสบให้ลึกขึ้น ทั้งในแง่ของประเภท สาเหตุ อาการ วิธีวินิจฉัย แนวทางรักษา ไปจนถึงการป้องกัน และการใช้ชีวิตอย่างเหมาะสมหากคุณหรือคนใกล้ตัวได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้แล้ว
ทำความรู้จักกับ โรคตับอักเสบ ให้มากขึ้น
โรคตับอักเสบ หรือ Hepatitis คือ ภาวะที่ตับเกิดการอักเสบแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยผู้ป่วยจะมีอาการเบื่ออาหาร ท้องร่วง ปวดท้องเฉียบพลัน อ่อนเพลีย น้ำหนักลด ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือบางรายอาจมีอาการปวดท้องใต้ชายโครงด้านขวาร่วมด้วย ซึ่งโรคตับอักเสบมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ ดังนี้
แบบอักเสบเฉียบพลัน อาการเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และอาจดีขึ้นเองในไม่กี่สัปดาห์
แบบอักเสบเรื้อรัง อาการค่อย ๆ สะสมและต่อเนื่องเกิน 6 เดือน ซึ่งเสี่ยงลุกลามเป็นตับแข็งหรือโรคมะเร็งตับได้
ตับอักเสบเกิดจากอะไร บ้าง?
แม้ว่า “ตับ” จะเป็นอวัยวะที่ไม่ส่งเสียงเตือนในยามเจ็บป่วย แต่หากเกิดอักเสบขึ้นมาเมื่อไร ผลกระทบที่ตามมานั้นอาจลุกลามถึงชีวิตโดยไม่ทันตั้งตัว ซึ่งสาเหตุการเกิด โรคตับอักเสบ สามารถเกิดขึ้นได้ 2 ปัจจัยหลัก ๆ เช่น
1. เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
ตับอักเสบเกิดจากอะไรบ้าง?
โดยอาการจะขึ้นอยู่กับเชื้อไวรัสที่ผู้ป่วยเผชิญ ไม่ว่าจะเป็น
ไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A Virus) มักเกิดจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ (Fecal–oral route) อาการที่พบบ่อย ได้แก่ อ่อนเพลีย ไข้ คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ปวดท้อง ตัวเหลือง ตาเหลืองแบบเฉียบพลัน ในบางรายอาจมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ผื่นผิวหนัง หรือปวดข้อได้ อาการมักจะหายได้เองในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันดี แต่ในบางกรณีอาจเกิดภาวะตับวายเฉียบพลัน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคตับเรื้อรังอยู่เดิม
ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Virus) ติดต่อผ่านทางเลือด เพศสัมพันธ์ หรือจากแม่สู่ลูก อาการในระยะเฉียบพลัน ได้แก่ อ่อนเพลีย ไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดท้อง ปัสสาวะสีเข้ม ตัวเหลือง ตาเหลือง โดยอาการเหล่านี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นเมื่อร่างกายกำจัดเชื้อได้เอง
ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C Virus) ติดต่อทางเลือดเป็นหลัก เช่น การใช้เข็มร่วมกัน อาการในระยะเฉียบพลันมักไม่มี หรือมีเพียงเล็กน้อย (ประมาณ 25-30% จะมีตัวเหลือง ตาเหลือง) ส่วนใหญ่จะไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ เมื่อกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง (พบได้ถึง 80% ของผู้ติดเชื้อ) จะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และเมื่อโรคดำเนินไปมากขึ้นอาจเกิดภาวะตับแข็ง ม้ามโต ท้องมาน ขาบวม เลือดออกง่าย สมองมึนงง หรือกลายเป็นมะเร็งตับได้
ไวรัสตับอักเสบดี (Hepatitis D Virus) ไวรัสชนิดนี้จะติดเชื้อได้เฉพาะในผู้ที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B อยู่แล้ว อาการจะรุนแรงกว่าการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B เพียงอย่างเดียว โดยอาจเกิดตับอักเสบเฉียบพลันรุนแรงหรือตับวายได้ง่ายขึ้น
ไวรัสตับอักเสบอี (Hepatitis E Virus) ติดต่อคล้ายไวรัสตับอักเสบ A คือผ่านทางอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน อาการโดยทั่วไปคล้ายกับไวรัสตับอักเสบ A ได้แก่ ไข้ อ่อนเพลีย ตัวเหลือง ตาเหลือง แต่ในหญิงตั้งครรภ์โดยเฉพาะช่วงไตรมาสที่ 3 อาจเกิดภาวะตับวายรุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่ากลุ่มอื่น ดังนั้นผู้ป่วยกลุ่มนี้ควรรับประทานอาหารด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ
ทั้งนี้ อาการของโรคไวรัสตับอักเสบแต่ละชนิดมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของอาการตับอักเสบเฉียบพลัน เช่น ไข้ อ่อนเพลีย ตัวเหลือง ตาเหลือง แต่ความรุนแรงและความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจะแตกต่างกันไปตามชนิดของไวรัสและปัจจัยของผู้ป่วยแต่ละราย
2. พฤติกรรมการใช้ชีวิต
ตับอักเสบเกิดจาก พฤติกรรมการใช้ชีวิต
นอกจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบแล้ว พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับและภาวะตับอักเสบ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่รูปแบบการใช้ชีวิตและการรับประทานอาหารเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้หากทำซ้ำเป็นเวลานาน อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของตับได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น
รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เช่น อาหารปิ้งย่าง ของทอด ของมัน เช่น นม เนย กะทิ ชีส กุ้ง ปูไข่ ไข่แดง ซึ่งทำให้เกิดไขมันสะสมในตับและเสี่ยงต่อโรคไขมันพอกตับ
ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ซึ่งการดื่มในปริมาณมากและต่อเนื่อง จะทำให้เซลล์ตับถูกทำลาย เกิดการอักเสบเรื้อรัง และนำไปสู่ภาวะตับแข็งได้
การรับประทานยาโดยไม่จำเป็น หรือใช้ยาเกินขนาด เช่น ยาพาราเซตามอล ยาแก้อักเสบ และยาแก้ปวดบางชนิด เมื่อรับประทานต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะทำให้ตับทำงานหนักและเสี่ยงต่อการเกิดตับวาย
ภาวะอ้วนลงพุงและน้ำหนักเกิน โดยไขมันส่วนเกินจะถูกสะสมที่ตับจนเกิดภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้อาจพัฒนาเป็นตับอักเสบเรื้อรังและตับแข็ง
การบริโภคน้ำตาลมากเกินไป ซึ่งเครื่องดื่มรสหวาน นอกจากจะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงแล้ว ยังสามารถเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมในตับ เพิ่มความเสี่ยงโรคไขมันพอกตับ แม้ในผู้ที่ไม่อ้วนก็ตาม
การสูบบุหรี่ หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีควันบุหรี่ ส่งผลให้ตับต้องทำงานหนักขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคตับ
การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เพิ่มโอกาสรับเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้ เช่น การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการใช้ยาหรืออาหารเสริมโดยไม่จำเป็น จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันโรคตับได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เราสามารถตรวจวินิจฉัย “โรคตับอักเสบ” อย่างไรได้บ้าง?
การวินิจฉัยโรคตับอักเสบมีความสำคัญอย่างยิ่งในการระบุชนิดของโรค ประเมินความรุนแรง และวางแผนการรักษา ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักพบผลโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพประจำปี โดยแนวทางในการตรวจสุขภาพหลัก ๆ ที่แพทย์ใช้มีดังนี้
การซักประวัติและตรวจร่างกาย
แพทย์จะสอบถามอาการ ประวัติการเจ็บป่วย พฤติกรรมเสี่ยง การใช้ยา การมีเพศสัมพันธ์รวมถึงตรวจร่างกายเพื่อหาสัญญาณของโรค เช่น ภาวะดีซ่าน (ตัวเหลือง ตาเหลือง) ตับโต หรืออาการบวม
การตรวจเลือด
เพื่อค่าการทำงานของตับที่ผิดปกติ รวมไปถึงการตรวจหาเชื้อไวรัส ที่อาจก่อให้เกิดโรคตับอักเสบ
ตรวจด้วยเครื่องไฟโบรสแกน (Fibroscan)
เป็นการตรวจไขมันในตับสูงและการตรวจพังผืด ที่ช่วยประเมินปริมาณไขมันในตับโดยที่ผู้ป่วยไม่เจ็บตัว และใช้เวลาไม่นาน
การตรวจชิ้นเนื้อตับ (Liver Biopsy)
ในบางกรณีที่ต้องการประเมินความรุนแรงหรือระยะของโรค แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กเจาะเก็บตัวอย่างเนื้อตับมาตรวจวิเคราะห์ทางพยาธิวิทยา
หากผู้ป่วยพบว่าเป็น “โรคตับอักเสบ” ควรปฏิบัติตัวอย่างไร?
เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคตับอักเสบ ผู้ป่วยควรดูแลตนเองอย่างเหมาะสมและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อช่วยให้ตับฟื้นฟู ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน และป้องกันการแพร่กระจายของโรค โดยแนวทางการดูแลตนเองที่สำคัญ ได้แก่
พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับวันละ 7–8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายและตับฟื้นตัวได้ดี
รับประทานอาหารที่เหมาะสม เลือกอาหารสะอาด ย่อยง่าย ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารมันจัด แปรรูป และใส่สารกันบูด
งดแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์ทำร้ายตับโดยตรง ควรงดดื่มทุกชนิด
หลีกเลี่ยงยาหรืออาหารเสริมที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะยาสมุนไพรหรืออาหารเสริมที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือโยคะ หลีกเลี่ยงการออกแรงหนัก
ควบคุมน้ำหนัก โดยเฉพาะในผู้ที่มีไขมันพอกตับ ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอและควบคุมอาหาร
ดูแลสุขอนามัยส่วนตัว ได้แก่ ล้างมือบ่อย ๆ เพื่อป้องกันเชื้อโรค, หลีกเลี่ยงการใช้ของมีคม และของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
เพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ใช้ถุงยางอนามัย ลดความเสี่ยงการติดไวรัสตับอักเสบ B, C, D
ตรวจสุขภาพตามนัด เพื่อตรวจเลือดและอัลตราซาวนด์ตามคำแนะนำแพทย์ และติดตามอาการ
ใช้ยาตามแพทย์สั่ง ห้ามหยุดยา ปรับขนาด หรือเปลี่ยนยาเอง เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
วิธีดูแลตนเอง และป้องกันไม่ให้เกิด “โรคตับอักเสบ”
ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ A และ B ให้ครบตามกำหนด
เลือกรับประทานอาหารปรุงสุก ดื่มน้ำสะอาด
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน สักหรือเจาะในร้านที่ไม่สะอาด และมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
ควบคุมโรคประจำตัวให้ดี โดยเฉพาะเบาหวานและความดันโลหิตสูง ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพตับในระยะยาว
งดสูบบุหรี่ เพราะสารพิษในบุหรี่ทำให้ตับทำงานหนักขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคตับ
ตรวจสุขภาพตับอย่างสม่ำเสมอ ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงควรพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดและอัลตราซาวนด์ช่องท้องเป็นระยะ
การใช้สิทธิบัตรทองในการขอรับยาสามัญประจำบ้าน
สำหรับผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย เช่น เวียนศีรษะ ปวดหัว ท้องเสีย ฯลฯ สามารถใช้สิทธิบัตรทอง เพื่อรับบริการที่ร้านยาที่เข้าร่วม “โครงการร้านยาคุณภาพของฉัน ให้บริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย 32 อาการ” ได้ ซึ่งจะมีเภสัชกรคอยให้คำปรึกษา และจ่ายยาที่จำเป็นโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย